ใครที่อยากลองทำเมนูฮันนี่โทสต์ ขนมแสนหวานหอมดูสักที แต่หน้าตาที่หลายคนคุ้นเคย คือ ขนมปังชิ้นหนานุ่มผ่าเป็นช่อง ๆ ทาเนยแล้วราดน้ำผึ้ง เชยไปแล้วล่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำฮันนี่โทสต์โฉมใหม่ คือ ฮันนี่บริคโทสต์ สูตรจาก คุณ Rin\'s Cookbook ฮันนี่โทสต์แบบประยุกต์ที่จับขนมปังมาคว้านเนื้อออก ใส่ไส้กล้วยหอมสลับกับชิ้นขนมปัง แถมยังตกแต่งด้วยผลไม้สด ไอศกรีม และเวเฟอร์ ทำเสร็จแล้วชวนคุณลูกหรือเพื่อน ๆ มาปาร์ตี้ของหวานกันได้เลยนะคะ
ส่วนผสม ฮันนี่บริคโทสต์
ขนมปังปอนด์ (แบบยังไม่สไลซ์) 1/2 ก้อน (สูงประมาณ 5 นิ้ว) เนยสด (ชนิดจืด หรือเค็มก็ได้) 1/2 ถ้วย ส่วนผสมท็อปปิ้งและตกแต่ง (ตามชอบ) น้ำผึ้ง, ซอสช็อกโกแลต หรือไซรัปอื่น ๆ ตามชอบ วิปปิ้งครีม ผลไม้สดตามชอบ เช่น กล้วยหอมสไลซ์, กีวี, ราสป์เบอร์รี, แบล็กเบอร์รี และสตรอว์เบอร์รี ไอศกรีมรสชาติตามชอบ เวเฟอร์แท่ง วิธีทำ
ทำกล่องขนมปังโดยใช้มีดฟันเลื่อยค่อย ๆ เลื่อยขนมปังทั้ง 4 ด้านแล้วคว้านเอาเนื้อขนมปังด้านในออกมาเป็นก้อนสี่เหลี่ยม ขนมปังที่ได้จะมีเป็นลักษณะเป็นกล่อง (เทคนิคการกรีดขนมปังสามารถดูได้จากคลิปวิดีโอ)
นำเนื้อขนมปังที่คว้านออกมาแล้วหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า เตรียมไว้
นำเนยสดไปละลายในกระทะใช้ไฟปานกลางอ่อนคนให้เข้ากันจนเนยละลาย ปิดไฟ เตรียมไว้ เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 350 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 180 องศาเซลเซียส เตรียมไว้
จุ่มขนมปังก้อนสี่เหลี่ยมลงในเนยสดเพียง 1 ด้าน (ระวังอย่าให้ชุ่มจนเกินไป) วางเรียงใส่ถาด เตรียมไว้
ทาเนยละลายที่เหลือรอบกล่องขนมปังให้ทั่วทุกด้านทั้งด้านในและด้านนอก (ถ้าเหลือให้เทเนยลงไปในกล่องขนมปังเพื่อให้เนยซึมเข้าไปในเนื้อขนมปังก็ได้) 
นำขนมปังวางเรียงใส่ถาด พร้อมกล่องขนมปัง นำเข้าเตาอบประมาณ 10-12 นาที หรือจนกลายเป็นสีเหลืองทอง
ราดน้ำผึ้งลงไปในกล่องขนมปังที่อบเสร็จแล้ว จากนั้นวางเรียงเนื้อขนมปังหั่นเต๋าลงไปในกล่อง ราดน้ำผึ้งเล็กน้อย 
ทับด้วยกล้วยหอมสไลซ์แล้วราดน้ำผึ้งทับอีกที 
ทำสลับไปเรื่อย ๆ ตามชอบ โดยให้ชั้นบนสุดเป็นขนมปังราดน้ำผึ้งทับอีกครั้ง
ตกแต่งให้สวยงามโดยบีบวิปปิ้งครีมลงไป วางเเรียงผลไม้สดลงไปรอบ ๆ ตามด้วยไอศกรีม และเวเฟอร์แท่ง
แต่งให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ ฮันนี่บริคโทสต์ เมนูฮันนี่โทสต์แปลงร่างด้วยการใส่ไส้ลงไป แถมยังเพิ่มท็อปปิ้งสุดไฮโซ เหมาะสำหรับทำกินทั้งครอบครัวหรือปาร์ตี้กับเพื่อนฝูงมาก ๆ ทำเองคุ้มกว่าอร่อยด้วย แต่อย่าทานเยอะนะคะ เดี๋ยวน้ำหนักขึ้นไม่รู้ตัว ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
Rin\'s Cookbook และ เฟซบุ๊ก Rin Silpachai
