9 เมนูจากผักที่ห้ามกินดิบ กินสุกปลอดภัยสบายใจมีประโยชน์

ผักที่ห้ามกินดิบ

          รู้ไหม ? โลกนี้มีผักที่ห้ามกินดิบ ถ้ากินมากไปอาจให้โทษ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยมาปรุงสุกก่อนดีกว่ากับ 9 สูตรอาหารจากผัก มีทั้งอาหารเมนูเส้น เมนูกับข้าว รวมทั้งของหวาน มามะมากินอิ่มสบายใจกันดีกว่า

          จริง ๆ แล้วการกินผักมีประโยชน์ต่อร่างกายก็จริงนะคะ แต่ในโลกใบนี้ก็มีผักที่ห้ามกินดิบ หรือผักที่ไม่ควรกินสดบางชนิด [คลิกอ่าน คิดให้ดี ผักดิบ 9 ชนิดนี้ กินมากไปอาจได้โทษ] เพราะถ้าหากกินในปริมาณเยอะเกินไปแล้วอาจจะก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายได้ ดังนั้นการนำผักห้ามกินดิบเหล่านั้นมาปรุงให้สุกก่อนก็จะดีต่อสุขภาพมากกว่าค่ะ กระปุกดอทคอมเลยอยากขอนำเสนอ 9 เมนูจากผักที่ห้ามกินดิบ ถ้าอยากรู้ว่ามีผักอะไรห้ามกินดิบ โปรดติดตามค่ะ 



 1. กะหล่ำปลี : กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา

          ใครเคยชอบกินกะหล่ำปลีดิบบ้างคะ ? ไม่ว่าจะกินแกล้มกับส้มตำ หรือกินกับขนมจีนก็ตาม เพื่อน ๆ ทราบไหมว่าถ้ากินกะหล่ำปลีดิบมากเกินไปก็มีโทษเหมือนกันนะคะ ถ้าอย่างนั้นเอาเจ้ากะหล่ำปลีดิบมาทำเมนูกะหล่ำปลีทอดน้ำปลากันดีกว่า อาหารไทยจานนี้ง่ายมาก ๆ เลยค่ะ ส่วนผสมหลัก ๆ มีแค่กะหล่ำปลีกับน้ำปลาเท่านั้น อูย… ง้ายง่ายชาตินี้ต้องลองค่ะ 

 ส่วนผสม กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา

           กะหล่ำปลี 1 หัว
          กระเทียมสับ 2 หัว
          น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
          น้ำมันพืชเล็กน้อย (สำหรับผัด)

วิธีทำกะหล่ำปลีทอดน้ำปลา

ผักที่ห้ามกินดิบ

          1. หั่นกะหล่ำปลีเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วดึงแยกออกจากกัน จากนั้นนำไปล้างให้สะอาด เตรียมไว้

          2. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟแรง พอน้ำมันร้อนใส่กระเทียมลงไปเจียวจนหอม

          3. ใส่กะหล่ำปลีลงไปในกระทะ (ยังไม่ต้องผัด) ให้ทิ้งไว้ 10 วินาทีก่อน จากนั้นค่อย ๆ ผัดให้กะหล่ำปลีโดนความร้อนทั่ว ๆ แต่ยังไม่ต้องสุกมาก

          4. ราดน้ำปลาลงไปรอบ ๆ ขอบกระทะ (ยังไม่ต้องผัด) รอจนมีกลิ่นน้ำปลาหอม ๆ ลอยขึ้นมาก่อน แล้วค่อยผัดให้ทุกอย่างเข้ากัน พอผัดจนกะหล่ำปลีสุกแล้ว ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

ผักที่ห้ามกินดิบ

 ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา อาหารไทยสุดง่าย อร่อยได้ไม่ยุ่งยาก



ผักที่ห้ามกินดิบ

2. ดอกกะหล่ำ : ดอกกะหล่ำอบชีส

          ดอกกะหล่ำดิบ กินมาก ๆ ระวังท้องอืดนะคะ ทางที่ดีเอามาทำสุกก่อนดีกว่า ขอแนะนำเมนูดอกกะหล่ำอบชีสเลยค่ะ นั่นแน่… เคยกินกันใช่ไหมคะ ถ้าไปสั่งตามร้านอาหารราคาหลักร้อยเชียวนะคะ ลองมาทำกินเองคุ้มกว่ากันเยอะเลยค่ะ ดอกกะหล่ำนุ่ม ๆ เคล้ากับชีสทุกอณู ทำกินเป็นอาหารว่างเพลิน ๆ ก็ได้จ้า

ส่วนผสม ดอกกะหล่ำอบชีส

          เนยเค็ม 1 ช้อนโต๊ะ
          หอมใหญ่สับ 1 ช้อนโต๊ะ
          แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ช้อนโต๊ะ
          นมสด 2+1/2 ถ้วย
          วิปปิ้งครีม
          เกลือป่น เล็กน้อย
          พริกไทยดำบดเล็กน้อย
          ดอกกะหล่ำ (ตัดเป็นชิ้นเล็ก) 1 หัวเล็ก (น้ำหนักประมาณ 300-400 กรัม)
          เบคอน (หรือแฮม) หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 100 กรัม
          มะกะโรนีต้มสุก 200 กรัม
          มอสซาเรลลาชีสขูดฝอย

วิธีทำดอกกะหล่ำอบชีส

          1. ใส่เนยเค็มลงในกระทะ พอเนยละลายใส่หอมใหญ่สับลงไปผัดจนสุกใส จากนั้นใส่แป้งสาลีอเนกประสงค์ลงไปผัดจนสุก ค่อย ๆ เติมนมสดลงไปคนผสมเรื่อย ๆ ให้เข้ากัน

          2. ใส่วิปปิ้งครีมลงไป ปรุงรสด้วยเกลือป่นและพริกไทยดำบดเล็กน้อย ชิมรสตามชอบ จากนั้นเคี่ยวต่อจนส่วนผสมเข้ากันดีและมีลักษณะข้น ยกลงจากเตา เตรียมไว้

          3. ใส่เนยเล็กน้อยลงในกระทะอีกใบ ใส่ดอกกะหล่ำลงไปผัดจนเกือบสุก ตามด้วยเบคอน และเส้นมะกะโรนีต้มสุกแล้วลงไปผัดให้เข้ากัน

          4. ตักส่วนผสมดอกกะหล่ำลงในภาชนะสำหรับอบ จากนั้นโรยมอสซาเรลลาชีสขูดฝอยลงไปให้ทั่วตามชอบ จากนั้นนำไปอบที่อุณหภูมิประมาณ 350 องศาฟาเรนไฮต์ สังเกตให้ชีสละลายและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลตามชอบ นำออกจากเตาอบ พร้อมเสิร์ฟ

ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ดอกกะหล่ำอบชีส อาหารฝรั่งเมนูชีสกลิ่นหอม เสิร์ฟความอร่อยเต็มอิ่ม



ผักที่ห้ามกินดิบ

3. บรอกโคลี : บรอกโคลีซอสปูใส่กุ้ง

          การกินบรอกโคลีดิบอาจทำให้ท้องอืดเหมือนกะหล่ำปลีและดอกกะหล่ำได้นะคะ เพราะเป็นผักอยู่ในตระกูลเดียวกัน แต่ถ้าเอามาปรุงสุกก็คงไม่แคล้วต้องทำเมนูบรอกโคลีผัดน้ำมันหอย บรอกโคลีผัดหมู หรือบรอกโคลีผัดกุ้งกันใช่ไหมคะ ถ้าหากกินจนเบื่อแล้วลองมาทำเมนูบรอกโคลีซอสปูใส่กุ้งกันบ้างดีกว่า สูตรจากนิตยสารแม่บ้าน สูตรนี้เอาบรอกโคลีไปต้มจนนิ่ม ราดส่วนผสมซอสที่ใส่กุ้งและปูลงไปด้วย เพิ่มสีสันจากแครอท ชามนี้ดูเว่อร์วังอลังการมาก ๆ เลยค่ะ 

ส่วนผสม บรอกโคลีซอสปูใส่กุ้ง (สูตรสำหรับ 2 ที่)

          น้ำเปล่า (สำหรับต้ม)
          บรอกโคลี (ตัดเอาเฉพาะส่วนดอกเขียว) 200 กรัม
          เกลือป่น (สำหรับลวกผัก) 1/2 ช้อนชา
          น้ำซุปไก่ 1/2 ถ้วยตวง
          เนื้อปู 120 กรัม
          กุ้งสด (ปอกเปลือกผ่าหลังดึงเส้นดำออก) 7 ตัว
          แครอทสับ 1 ช้อนโต๊ะ
          น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
          ซอสหอยนางรม 1/2  ช้อนโต๊ะ
          ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
          น้ำมันงา 1/2 ช้อนโต๊ะ
          เหล้าจีน 1/2 ช้อนโต๊ะ
          พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
          แป้งมันสำปะหลังผสมน้ำเปล่า 2+1/2  ช้อนโต๊ะ

วิธีทำบรอกโคลีซอสปูใส่กุ้ง

          1. ต้มน้ำเปล่าให้เดือด ใส่บรอกโคลีและเกลือป่นลงต้ม 2 นาที ตักขึ้นแช่น้ำเย็น พักไว้ให้เย็น

          2. ต้มน้ำซุปไก่ให้เดือด เติมเนื้อปู กุ้งสด และแครอทลงไป พอเริ่มเดือดปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว น้ำมันงา เหล้าจีน และพริกไทยป่นคนให้เข้ากัน

          3. เติมแป้งมันสำปะหลังลงในน้ำซุปคนให้เข้ากันจนข้นเหนียว

          4. จัดบรอกโคลีใส่จาน ราดด้วยส่วนผสมซอส จัดเสิร์ฟ

ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ บรอกโคลีซอสปูใส่กุ้ง อาหารลดน้ำหนักสำหรับคุณแม่



ผักที่ห้ามกินดิบ

4. ถั่วฝักยาว : ทูน่าผัดพริกแกง

          ถั่วฝักยาวดิบมีความกรอบเคี้ยวเพลินก็จริงนะคะ ยิ่งถ้าได้กินคู่กับน้ำพริกด้วยแล้วฟินมากเลย แต่เพื่อน ๆ รู้ไหมคะว่า ถ้ากินถั่วฝักยาวดิบในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียน รวมถึงท้องเสียด้วย ดังนั้นก่อนกินเราสามารถเอาไปลวก หรือเอามาทำเมนูทูน่าผัดพริกแกงสูตรจากคุณย่าน้องวิน สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ผัดพริกแกงมื้อนี้มีประโยชน์เพราะใส่โปรตีนจากปลาทูน่าและมีวิตามินจากถั่วฝักยาว เท่านั้นยังไม่พอเพิ่มความหอมจากใบมะกรูดอีก ตักข้าวสวยรอไว้ได้เลยค่ะ

ส่วนผสม ทูน่าผัดพริกแกง

          ปลาทูน่ากระป๋อง
          ถั่วฝักยาวลวกสุก (หั่นเป็นท่อนสั้น)
          น้ำพริกแกงเผ็ด
          น้ำมันพืช (สำหรับผัด)
          น้ำตาลปี๊บ
          น้ำปลา
          ใบมะกรูดซอยฝอย

วิธีทำทูน่าผัดพริกแกง

ผักที่ห้ามกินดิบ

          1. เทน้ำหรือน้ำมันออกจากทูน่ากระป๋องให้แห้ง นำถั่วฝักยาวไปลวกให้สุก เตรียมไว้

          2. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะเล็กน้อย ใส่น้ำพริกแกงลงผัดจนหอม ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บและน้ำปลา

          3. ใส่เนื้อปลาทูน่าลงไปผัดให้เข้ากัน (ชิมรสตอนนี้เลย อ่อนรสไหนก็เพิ่มได้เลยค่ะ) ใส่ถั่วฝักยาวที่ลวกแล้วลงไป ตามด้วยใบมะกรูดผัดให้เข้ากันอีกครั้ง พร้อมเสิร์ฟ

ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ วิธีทำทูน่าผัดพริกแกง อาหารไทยสูตรดัดแปลงแฝงความอร่อย



ผักที่ห้ามกินดิบ

5. หน่อไม้ : แกงส้มหน่อไม้ดอง

          หน่อไม้ดิบ หรือหน่อไม้ดองมีอันตรายต่อร่างกายแน่นอนค่ะ ดังนั้นก่อนกินควรต้มให้สุกก่อน หรือถ้าอยากเอามาทำเป็นอาหารขอแนะนำแกงส้มหน่อไม้ดอง หรือแกงเหลืองหน่อไม้ดองสูตรจากคุณเนินน้ำ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม สูตรนี้เป็นแกงส้มปักษ์ใต้ ดังนั้นมีความแซ่บไม่เป็นสองรองใคร เลือกใส่เนื้อปลา หรือเนื้อกุ้งลงไปก็ได้ค่ะ ทำเป็นหม้อกินได้ทั้งครอบครัวเลยนะคะ 

ส่วนผสม แกงส้มหน่อไม้ดอง

          หน่อไม้ดอง
          น้ำพริกแกงส้ม
          ปลาสด หรือกุ้งสด
          ใบมะกรูด
          น้ำปลา
          น้ำตาลปี๊บ
          น้ำมะขามเปียก

วิธีทำแกงส้มหน่อไม้ดอง

ผักที่ห้ามกินดิบ

          1. นำหน่อไม้ดองไปต้มแล้วเทน้ำทิ้งสัก 1 รอบ ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ

          2. นำน้ำพริกแกงไปละลายน้ำ (เราใช้พริกแกงสำเร็จรูปของนิตยาซึ่งมีชื่อเรื่องแกงเขียวหวาน แต่วันนี้เราขอลองแกงส้มค่ะ)

          3. นำขึ้นตั้งไฟให้เดือด ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำปลา และน้ำตาลปี๊บ ปรุงรสตามชอบ

          4. พอน้ำแกงเดือดจัด ใส่ปลาลงไปต้มให้สุก ระหว่างนี้ห้ามคนเด็ดขาดเพื่อไม่ให้คาว (กรณีใช้กุ้งสดให้ข้ามขั้นตอนนี้ไป โดยใส่กุ้งสดในขั้นตอนสุดท้าย)

          5. ใส่หน่อไม้ที่เตรียมไว้ลงไป พอเดือดชิมรสอีกครั้งให้ถูกใจ

          6. ใส่ใบมะกรูด ปิดไฟ (หากใช้ปลาทะเลที่มีกลิ่นคาวจัด ควรเพิ่มน้ำมะกรูดและลูกมะกรูดลงไปช่วยดับคาว) ตักใส่ชาม พร้อมเสิร์ฟ

ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ แกงส้มหน่อไม้ดอง เปรี้ยวเผ็ดรสเด็ดกลมกล่อม



ผักที่ห้ามกินดิบ

6. ผักโขม : ผักโขมอบชีส

          ผักโขมกินดิบไม่ได้นะคะ ก่อนกินเราควรปรุงให้สุกก่อน โดยเมนูอันดับต้น ๆ ที่อยากแนะนำคือ ผักโขมอบชีสสูตรจากคุณ TaYo76 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เริ่มด้วยการนำผักโขมไปผัดกับแฮม ก่อนนำไปอบโปะชีสก่อน พอเอาออกมาจากเตาอบดูน่ากินมาก ๆ เลยค่ะ อร่อยแบบไม่ต้องกลัวอ้วนก็คราวนี้แหละ

ส่วนผสม ผักโขมอบชีส

          ผักโขม (แช่แข็ง)
          หอมใหญ่ 1/2 หัว
          แฮม (หรือเบคอน)
          เนยสด
          แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ช้อนโต๊ะ
          นมจืด
          เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
          พริกไทยป่น
          น้ำตาลทรายเล็กน้อย
          ชีส
          ออริกาโน่ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
          ถาดอะลูมิเนียมฟอยด์
          เตาอบ

วิธีทำผักโขมอบชีส

ผักที่ห้ามกินดิบ

          1. เอาผักโขมไปละลายน้ำแข็งโดยแช่น้ำทิ้งไว้ จากนั้นก็เอาผักโขมมาหั่นหยาบ ๆ ให้ชิ้นเล็กลง (จะได้กินง่ายขึ้น)

          2. หั่นหอมใหญ่และแฮมเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า เตรียมไว้

ผักที่ห้ามกินดิบ

          3. ตั้งกระทะใส่เนยและหอมใหญ่ลงไปผัดพอสุก จากนั้นใส่แป้งสาลีอเนกประสงค์ลงไป

ผักที่ห้ามกินดิบ

          4. ใส่แฮมที่หั่นเตรียมไว้และนมจืดไปลงไปส่วนหนึ่งก่อน (เพื่อให้แป้งไม่ไหม้ติดกระทะ) ผัดสักครู่ให้แป้งเป็นก้อน จากนั้นใส่ผักโขมลงไป เติมนมจืดลงไปอีก ปรุงรสด้วยเกลือป่น พริกไทยป่น และน้ำตาลทรายนิดหน่อย (บางทีผมก็แอบใช้น้ำปลานะครับ เพราะผมชอบความเค็มแบบน้ำปลามากกว่าเกลือ เพราะมันมีความมันด้วยไม่ใช่แค่เค็มแห้ง ๆ) จากนั้นก็เทใส่จานพักไว้

ผักที่ห้ามกินดิบ

          5. เอาผักโขมใส่ลงในถาดฟอยล์ วางมอสซาเรลลาชีสที่หั่นเป็นชิ้นไว้ทับลงไปบนผักโขมที่เตรียมไว้ แซมด้วยเชดดาร์ชีสเล็กน้อยเพื่อให้มีรสเค็มอร่อยขึ้น หรือจะโรยพาร์มีซานชีสให้กลิ่นหอมน่ารับประทานขึ้นด้วยก็ได้ (ถ้าใส่เยอะไปจะฉุนไม่อร่อยนะจ๊ะ)

          6. นำเข้าเตาอบ โดยใช้ไฟบน-ล่าง เวลาประมาณ 10-12 นาที rvอบเสร็จเรียบร้อย โรยออริกาโน่ตบท้ายหน่อย พร้อมเสิร์ฟ

ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ วิธีทำผักโขมอบชีส แบบง่าย ๆ ทำกินเองได้ที่บ้าน



ผักที่ห้ามกินดิบ

7. เห็ด : ต้มเห็ดสมุนไพร

          หลายคนคงจะพอรู้ว่า การกินเห็ดดิบไม่ปลอดภัยแน่นอน ถ้าหากคิดเมนูไม่ออกขอนำเสนอต้มเห็ดสมุนไพรสูตรจาก คุณเนินน้ำ รสชาติเผ็ดร้อน เพียบพร้อมด้วยสมุนไพรแก้หวัด กินได้บ่อยไม่ต้องกลัวอ้วนเลยจ้า

ส่วนผสม ต้มเห็ดสมุนไพร

          น้ำเปล่า 4 ถ้วย
          เกลือสมุทร 1/4 ช้อนชา
          หอมแดงทุบ 5 หัว
          ตะไคร้ 4 ต้น (หั่นเป็นท่อนแล้วทุบ)
          กระเทียมกลีบใหญ่ 5 กลีบ
          เห็ดฟาง (ดอกตูม) 200 กรัม
          มะขามเปียก (ทั้งรก) 2 ฝัก
          น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
          ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
          ใบโหระพา (เด็ดเป็นใบ) 1/2 ถ้วย
          ใบกะเพรา (เด็ดเป็นใบ) 1/2 ถ้วย
          ผักชีฝรั่งซอย 1/4 ถ้วย
          พริกแห้งทอด 3 เม็ด

วิธีทำต้มเห็ดสมุนไพร

ผักที่ห้ามกินดิบ

          1. ใส่น้ำเปล่ากับเกลือลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง พอน้ำเดือดใส่หอมแดง ตะไคร้ และกระเทียมลงไปต้มสักครู่จนมีกลิ่นหอม

ผักที่ห้ามกินดิบ

          2. ใส่เห็ดฟางลงไปต้มจนสุกประมาณ 5 นาที

ผักที่ห้ามกินดิบ

          3. ปรุงรสด้วยมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และซีอิ๊วขาวคนผสมให้เข้ากัน ใส่โหระพา ใบกะเพรา ผักชีฝรั่ง และพริกแห้งทอดลงไปแล้วปิดไฟ ตักใส่ถ้วย ตกแต่งด้วยยอดใบกะเพราให้สวยงาม เสิร์ฟขณะร้อน ๆ

ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ต้มเห็ดสมุนไพร ซดร้อน ๆ แซ่บถึงใจ ไล่หวัดได้



ผักที่ห้ามกินดิบ

8. ถั่วงอก : ก๋วยเตี๋ยวหลอด

          เชื่อว่าเพื่อน ๆ ต้องชอบกินถั่วงอกดิบแกล้มกับผัดไทย หรือขนมจีนกันใช่ไหมคะ ถ้าหากกินในปริมาณน้อยก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด หรืออาจนำไปลวกก่อนกินก็ได้ค่ะ แต่สำหรับใครที่ต้องการหาสูตรอาหารที่มีถั่วงอกปรุงสุกขอแนะนำก๋วยเตี๋ยวหลอดสูตรจากเว็บไซต์ Ching Can Cook จับแผ่นก๋วยเตี๋ยวห่อถั่วงอกแล้วเอาไปนึ่งจนสุก ก่อนเสิร์ฟราดด้วยเครื่องเคราก๋วยเตี๋ยวหลอด อูย... เห็นเครื่องแน่นแบบนี้น้ำลายสอ

ส่วนผสม ก๋วยเตี๋ยวหลอด

          น้ำเปล่า
          กระเทียมกลีบใหญ่ทุบ
          รากผักชีทุบ
          หมูสามชั้น (หั่นชิ้นเล็ก ๆ)
          น้ำมันหอย
          ซีอิ๊วขาว
          น้ำปลา
          ซีอิ๊วดำ
          น้ำตาลทราย
          เต้าหู้เหลือง (หั่นชิ้นเล็ก)
          เส้นก๋วยเตี๋ยวแผ่นใหญ่ (ที่ยังไม่ได้ตัด)
          ถั่วงอก
          ไชโป๊หวาน (โรยหน้า)
          กุ้งแห้งทอด (โรยหน้า)
          กระเทียมเจียว (โรยหน้า)
          พริกไทยป่น (โรยหน้า)
          ต้นหอมซอย (โรยหน้า)
          ผักชีซอย (โรยหน้า)

วิธีทำก๋วยเตี๋ยวหลอด

ผักที่ห้ามกินดิบ

          1. ใส่น้ำเปล่าลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟจนเดือด

          2. ใส่กระเทียมทุบและรากผักชีทุบลงไป

          3. ตามด้วยหมูสามชั้น ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว น้ำปลา ซีอิ๊วดำ และน้ำตาลทราย

          4. ปิดฝาหม้อ ตุ๋นด้วยไฟอ่อนนานประมาณ 40 นาที จากนั้นใส่เต้าหู้เหลืองลงไป ตุ๋นต่ออีก 15 นาที โรยพริกไทยป่นก็เป็นอันเสร็จ เตรียมไว้

ผักที่ห้ามกินดิบ

          5. ระหว่างรอตุ๋น ให้ห่อถั่วงอกด้วยก๋วยเตี๋ยวแผ่นใหญ่ (ไม่ต้องใส่ถั่วงอกมากไปนะคะ) แล้วนำไปนึ่งประมาณ 10 นาที จัดใส่จาน แล้วใช้กรรไกรตัดเป็นท่อน ๆ เตรียมไว้ 

          6. ตักส่วนผสมน้ำราด ราดลงบนเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ตัดไว้ โรยหน้าด้วยไชโป๊หวาน กุ้งแห้งทอด กระเทียมเจียว พริกไทยป่น ต้นหอม และผักชีซอย พร้อมเสิร์ฟ

ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ก๋วยเตี๋ยวหลอด รสกลมกล่อม เมนูง่าย ๆ อิ่มอร่อยได้ทุกมื้อ



ผักที่ห้ามกินดิบ

9. มันสำปะหลัง : มันสำปะหลังเชื่อม

          เชื่อว่าเพื่อน ๆ คงไม่กินมันสำปะหลังดิบแน่นอน แต่ถ้าจะให้กินสุกส่วนใหญ่จะเอามาทำขนมไทยกันโดยเฉพาะมันสำปะหลังเชื่อม จับมันสำปะหลังหั่นชิ้นตามชอบ นำไปเคี่ยวกับน้ำตาลทรายจนเนื้อมันร่วนและน้ำเชื่อมซึม ก่อนเสิร์ฟราดกะทิตามชอบ ว้าว… มีของหวานกินวันหยุดนี้แล้วสินะ ดีใจจังเลย

ส่วนผสม มันสำปะหลังเชื่อม

          มันสำปะหลัง 2 หัว (ประมาณ 1,500-2,000 กรัม)
          น้ำตาลทรายขาว 4 ถ้วย
          น้ำลอยดอกมะลิ 10 ถ้วย (หรือน้ำผสมกลิ่นมะลิ)
          หัวกะทิ 2 ถ้วย
          แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
          เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำมันสำปะหลังเชื่อม

          1. หั่นมันสำปะหลังเป็นท่อนสั้น ๆ 4 ส่วนต่อ 1 หัว ผ่าครึ่งชิ้น ปอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาด เตรียมไว้

          2. ใส่น้ำตาลทรายลงในกระทะเทฟลอน ตามด้วยน้ำลอยดอกมะลิ ใช้ไฟกลางเคี่ยวจนน้ำตาลละลายหมด

          3. เมื่อน้ำเชื่อมเดือดแล้วใส่มันสำปะหลังลงไปต้มจนมันเริ่มสุกบางส่วน ลดเป็นไฟอ่อนแล้วเชื่อมมันไปเรื่อย ๆ ประมาณ 1-2 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับขนาดของมันสำปะหลังที่เราหั่น) จนน้ำเชื่อมซึมเข้าไปในเนื้อมัน และเนื้อมันมีลักษณะใส ปิดไฟ พักไว้

          4. ละลายแป้งข้าวโพดกับหัวกะทิเล็กน้อย ใส่เกลือป่นลงไปคนให้แป้งละลายหมดแล้วนำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมข้นและเหนียว ปิดเตา พักไว้จนเย็น

          5. ตักมันสำปะหลังเชื่อมใส่ถ้วย ราดด้วยกะทิ พร้อมเสิร์ฟ

          น่ากินใช่ไหมล่ะสำหรับ 9 เมนูจากผักที่ห้ามกินดิบ แต่ผักที่ไม่ควรกินสดบางชนิดอย่างเช่นกะหล่ำปลี หรือถั่วงอก ถ้าหากกินในปริมาณพอเหมาะก็ไม่เป็นอันตรายนะคะ ถึงอย่างไรการกินอาหารทุกอย่างล้วนแล้วแต่ต้องพอเหมาะพอดี เดินทางสายกลางดีที่สุดค่ะ

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
9 เมนูจากผักที่ห้ามกินดิบ กินสุกปลอดภัยสบายใจมีประโยชน์ อัปเดตล่าสุด 29 เมษายน 2559 เวลา 15:55:00 62,330 อ่าน
TOP
x close