ใครพร้อมลุยเลย ! ชวนทำเมนูขนมคีโตหลากหลายแบบ สูตรขนมแคลอรีต่ำ ไม่มีส่วนผสมของแป้งและน้ำตาล ลองทำดูไม่ยากและอร่อยด้วยนะ หลังจากอิ่มกับเมนูอาหารคีโตกันแล้ว ลองมาทำของหวานคีโตบ้างดีไหม กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำขนมคีโต เช่น บราวนี่คีโต ชีสเค้กคีโต พุดดิ้งคีโต คุกกี้คีโต เป็นต้น ชอบเมนูไหนลองหาเวลาทำกันดูนะคะ เนย 30 กรัม ดาร์กช็อกโกแลต 10 กรัม ผงโกโก้ 20 กรัม ผงกาแฟ 1/2 ช้อนชา อิริทริทอล (สารให้ความหวานแทนน้ำตาล) 50 กรัม เกลือ ไข่ 1 ฟอง แป้งอัลมอนด์ 20 กรัม ครีมชีส 250 กรัม อิริทริทอล 80 กรัม ไข่ 2 ฟอง วิปปิ้งครีม 120 มิลลิลิตร เตรียมพิมพ์ทรงกลมขนาด 15 เซนติเมตร ทาเนยให้รอบพิมพ์แล้วกรุด้วยกระดาษไข รีดให้เรียบทั้งก้นพิมพ์และด้านข้าง เริ่มต้นทำบราวนี่ด้วยการละลายเนยและช็อกโกแลตในไมโครเวฟ แล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นเติมกาแฟ ผงโกโก้ อิริทริทอล และเกลือ คนให้เข้ากัน ใส่ไข่ ผสมให้เข้ากัน เติมแป้งอัลมอนด์ คนให้เข้ากันแล้วตักลงพิมพ์ ปาดหน้าให้เรียบแล้วพักไว้ ทำส่วนผสมของครีมชีส เริ่มด้วยผสมครีมชีส (อุณหภูมิห้อง) กับอิริทริทอลให้เข้ากัน ตามด้วยไข่และวิปปิ้งครีม ตีให้ส่วนผสมเนียนแล้วเทลงบนส่วนผสมของบราวนี่ นำไปอบที่อุณหภูมิ 220 องศาเซลเซียส ประมาณ 40 นาที พักให้เย็นแล้วนำเข้าตู้เย็นข้ามคืน เมื่อเค้กเซตตัวแล้วก็พร้อมตัดเสิร์ฟ แป้งอัลมอนด์ 20 กรัม ผงโกโก้ 10 กรัม อิริทริทอล (สารให้ความหวานแทนน้ำตาล) 15 กรัม เนยละลาย 20 กรัม แผ่นเจลาติน 1/2 แผ่น น้ำอุ่น ครีมชีส 50 กรัม อิริทริทอล (สารให้ความหวานแทนน้ำตาล) 25 กรัม วิปปิ้งครีม 100 กรัม สีผสมอาหารตามชอบ เริ่มทำฐานเค้กก่อนโดยผสมแป้งอัลมอนด์ โกโก้ และอิริทริทอล เข้าด้วยกัน แล้วตามด้วยเนยละลาย นำไปกรุก้นพิมพ์แล้วแช่เย็นประมาณ 30 นาที ระหว่างนั้นทำตัวชีสเค้ก เริ่มจากแช่แผ่นเจลาตินในน้ำอุ่นทิ้งไว้ ผสมครีมชีส (อุณหภูมิห้อง) กับอิริทริทอล คนให้เนียน ตามด้วยเจลาติน คนให้เข้ากัน ใส่สีผสมอาหารและใส่เจลาตินที่ละลายแล้ว คนจนเข้ากัน อีกถ้วยหนึ่งตีวิปปิ้งครีมให้ตั้งยอดอ่อน เทวิปปิ้งครีมลงไปในส่วนผสมครีมชีส คนจนเข้ากัน ใส่สีผสมอาหารเพิ่ม คนให้เข้ากัน แกะฐานช็อกโกแลตที่เซตตัวแล้วออกมา หยอดตัวชีสเค้กลงในพิมพ์ และวางทับด้วยตัวฐานช็อกโกแลต แล้วนำไปแช่ช่องแข็งประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้เซตตัว พอครบเวลาค่อย ๆ แกะออกจากพิมพ์ ครีมชีส 200 กรัม เนย 20 กรัม วิปปิ้งครีม 50 มิลลิลิตร เชดดาร์ชีส 40 กรัม ไข่ 4 ฟอง อิริทริทอล (สารให้ความหวาน) 100 กรัม เตรียมพิมพ์ด้วยการทาเนยลงบนพิมพ์แล้ววางกระดาษรองอบทุกด้าน แนะนำให้ทำสูงขึ้นมาเกินพิมพ์เพราะเค้กจะฟูขึ้นระหว่างอบ เริ่มด้วยการแยกไข่ขาวกับไข่แดงไว้รอเลย นำครีมชีส เนย วิปปิ้งครีม และเชดดาร์ชีส ไปตุ๋นบนหม้อน้ำร้อน คนให้ละลายจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ยกออกจากหม้อน้ำร้อน แล้วค่อย ๆ ใส่ไข่แดงลงอ่างผสมชีสทีละฟอง คนให้เข้ากัน พักไว้ ตีไข่ขาวในอีกชามผสมหนึ่ง ตีให้ขึ้นฟองหยาบและค่อย ๆ ใส่อิริทริทอลลงไป ตีจนตั้งยอด ตักไข่ขาวลงอ่างผสมไข่แดง ตะล่อมโฟมไข่ขาวจนเข้ากัน ขั้นตอนนี้เบา ๆ มือ ห่อพิมพ์ด้วยกระดาษฟอยล์กดให้แน่นกันน้ำเข้าเพราะจะอบแบบรองน้ำร้อน เทส่วนผสมลงพิมพ์ และยกไปใส่ถาดที่มีน้ำร้อนอยู่ครึ่งหนึ่ง นำไปอบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส ประมาณ 1 ชั่วโมง และเพิ่มอุณหภูมิเป็น 160 องศาเซลเซียส ประมาณ 15 นาที นำออกจากเตาอบ พักให้เย็น และแช่เย็นข้ามคืน ไข่ 5 ฟอง เนย 70 กรัม วิปปิ้งครีม 70 กรัม ผงอัลมอนด์ 70 กรัม อิริทริทอล (สารให้ความหวาน) 100 กรัม กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา แยกไข่ขาวและไข่แดงออกจากกัน พักไว้ ผสมเนยกับวิปปิ้งครีมลงในชามเดียวกันแล้วเอาไปเข้าไมโครเวฟพอให้ละลาย ใส่ผงอัลมอนด์ คนให้เข้ากัน ตามด้วยไข่แดง คนให้เข้ากัน พักไว้ อีกชามหนึ่งตีไข่ขาวกับสารให้ความหวาน โดยแบ่งใส่ 3 ครั้ง ตีให้ตั้งยอด ค่อย ๆ ผสมโฟมไข่ขาวลงในอ่างผสมไข่แดง คนให้เนื้อเข้ากันดีแล้วเทกลับไปในชามไข่ขาว คนให้เข้ากันแล้วเทลงพิมพ์ที่ห้อก้นด้วยอะลูมิเนียมฟอยล์ เพราะจะอบแบบรองน้ำร้อน เทน้ำร้อนลงในถาดรองอบและอบที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ใช้ไฟบน-ล่าง ประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจนสุก ส่วนที่ 1 ส่วนน้ำซอสสตรอว์เบอร์รี สตรอว์เบอร์รีแช่แข็ง 60 กรัม น้ำเปล่า 180 มิลลิลิตร สารให้ความหวาน (อิริทริทอล) 40 กรัม เจลาติน 2 แผ่น ส่วนที่ 2 ส่วนน้ำซอสบลูเบอร์รี บลูเบอร์รี 50 กรัม น้ำเปล่า 100 มิลลิลิตร สารให้ความหวาน (อิริทริทอล) 20 กรัม เจลาติน 1 แผ่น ส่วนที่ 3 ส่วนพานาคอตต้าครีม นมอัลมอนด์ 150 มิลลิลิตร วิปปิ้งครีม 200 มิลลิลิตร สารให้ความหวาน (อิริทริทอล) 40 กรัม เจลาติน 3 แผ่น ก่อนเริ่มทำแช่แผ่นเจลาติน 6 แผ่นในน้ำ ถ้าจะให้ดีให้แยกถ้วยแช่ ถ้วยหนึ่ง 3 แผ่น อีกถ้วย 2 แผ่น และถ้วยสุดท้าย 1 แผ่น เพราะเวลาเจลาตินละลายมันจะแยกกันไม่ออก หรือหากใครจะใช้เจลาตินแบบผงก็ละลายในน้ำก่อน เริ่มทำชั้นที่ 1 ชั้นซอสสตรอว์เบอร์รี โดยตั้งไฟอ่อน เทสตรอว์เบอร์รี น้ำ และอิริทริทอล คนให้เข้ากันจนอิริทริทอลละลาย สตรอว์เบอร์รีนิ่ม และน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นใช้กระชอนตาถี่กรองเอาแต่ส่วนน้ำ หากใครมีผ้าขาวบางก็จะดีมาก ในขณะที่น้ำสตรอว์เบอร์รียังอุ่นอยู่ ใส่แผ่นเจลาตินที่นิ่มแล้ว 2 แผ่นลงไป คนให้เจลาตินละลายเข้ากันกับน้ำ ตะแคงภาชนะประมาณ 45 องศา แล้วค่อย ๆ หยอดชั้นที่ 1 ลงในแก้วประมาณ 1/4 ส่วน แล้วนำไปแช่เย็นจนเซตตัว ถึงจะหยอดชั้นที่ 2 ได้ ทำชั้นที่ 2 ส่วนซอสบลูเบอร์รี ทำเช่นเดียวกับชั้นที่ 1 โดยตั้งไฟอ่อน ผสมบลูเบอร์รี น้ำ และอิริทริทอล คนให้เข้ากันจนอิริทละลายและน้ำเปลี่ยนสี กรองเอาแต่น้ำ แล้วใส่เจลาตินที่นิ่มแล้วลงไป 1 แผ่น คนให้เข้ากัน เมื่อชั้นสตรอว์เบอร์รีเซตตัวแล้วก็เริ่มหยอดชั้นที่ 2 ชั้นนี้ไม่ต้องหนามาก ในสูตรหยอดแค่ 2 ช้อนโต๊ะ แล้วนำไปแช่เย็นจนเซตตัว (ซอสบลูเบอร์รีที่เหลือให้นำไปผสมกับกากบลูเบอร์รีที่กรองออกไป เอาไว้ราดตกแต่งภายหลัง) ทำพานาคอตต้าครีม โดยเทนมอัลมอนด์กับวิปปิ้งครีมลงในหม้อ คนให้เข้ากัน ตามด้วยอิริทริทอล (แค่อุ่น ๆ ห้ามเดือดเด็ดขาด) พออิริทริทอลละลายแล้วก็ใส่แผ่นเจลาตินที่นิ่มแล้วลงไป 3 แผ่น คนให้เข้ากันและหยอดเป็นชั้นที่ 3 เสร็จแล้วนำไปแช่เย็นให้เซตตัว ก่อนเสิร์ฟราดซอสบลูเบอร์รี ตกแต่งด้วยสตรอว์เบอร์รี น้ำเปล่า 35 มิลลิลิตร วิปปิ้งครีม 35 มิลลิลิตร เนย 30 กรัม แป้งอัลมอนด์ 35 กรัม แซนแทนกัม 1/2 ช้อนชา (สารให้ความหนืดใช้แทนกลูเตน) ผงฟู 1 ช้อนชา ไข่ 2 ฟอง ไข่แดง 2 ฟอง อิริทริทอล 30 กรัม (สารให้ความหวาน) นมอัลมอนด์อุ่น 200 มิลลิลิตร แซนแทนกัม 1/2 ช้อนชา วิปครีมที่ตีแล้ว (วิปปิ้งครีม 100 มิลลิลิตร กับอิริทริทอล 10 กรัม) เริ่มกวนไส้ก่อนเพราะส่วนผสมต้องมีการพักทิ้งไว้ให้เย็นก่อนนำมาใช้ โดยตีไข่แดง 2 ฟองกับอิริทริทอลให้เข้ากันด้วยตะกร้อมือ เติมนมอัลมอนด์อุ่นแล้วตีให้เข้ากัน นำไปเคี่ยวไฟอ่อน เติมแซนแทนกัม เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนหนืดและข้น ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 5-7 นาที เทลงถ้วย ห่อด้วยพลาสติกถนอมอาหาร (ให้พลาสติกคลุมที่หน้าครีมนะคะ) แล้วนำไปแช่เย็น ทำตัวเปลือกขนม โดยเทน้ำ วิปปิ้งครีม และเนยลงในหม้อ ใช้ไฟอ่อน พอเนยละลายและเริ่มมีฟองที่บริเวณขอบ ๆ ใส่แป้งอัลมอนด์ คนให้เข้ากันแล้วตามด้วยแซนแทนกัมกับผงฟู ใช้ตะกร้อมือกวนแป้งไปเรื่อย ๆ จนแป้งเริ่มเกาะตัวกันเป็นก้อน ไหลจากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งของหม้อได้ นำออกมาพักไว้ในชามให้เย็นลงสัก 10 นาที พอแป้งเย็นลงแล้วตีไข่ให้แตกแล้วค่อย ๆ เทผสมลงในแป้งที่กวนไว้ ตีด้วยความเร็วต่ำ (ในสูตรใส่ 2 รอบ) ตีจนแป้งเนียนและไหลลงจากสเปตูล่าได้ ถือเป็นอันใช้ได้ จากนั้นเทแป้งลงในถุงบีบ หยอดแป้งลงบนกระดาษไข ใครชอบขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่บีบตามใจได้เลย ใช้นิ้วหรือหลังช้อนจุ่มน้ำ ทาลงบนผิวด้านหน้าของขนมเพื่อลบยอดแหลมและเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นของแป้งขณะอบ แล้วนำไปอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 15-20 นาที ระหว่างรอเปลือกขนมสุก เรามาเตรียมไส้คัสตาร์ดครีมให้พร้อมค่ะ นำตัวคัสตาร์ดออกมาจากตู้เย็น ตีให้เนื้อเนียนเข้ากัน ผสมกับวิปครีมที่ตีเอาไว้แล้ว ตีให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วเทลงถุงบีบ ใช้มีดปลายแหลมเจาะรูที่ฐานแล้วบีบครีมเข้าไป ใครชอบครีมหนัก ๆ ก็บีบเข้าไปตูม ๆ เลย จากนั้นก็ตกแต่งด้วยคัสตาร์ดครีมอีกชั้นหนึ่ง และใบมินต์ มะพร้าวคั่ว 100 กรัม เจลาตินผง 10 กรัม หรือ 2 ช้อนชา น้ำเปล่า 3 ช้อนโต๊ะ กะทิ 500 มิลลิลิตร นมอัลมอนด์ 200 มิลลิลิตร อิริทริทอลป่น (สารให้ความหวาน) 90 กรัม นำมะพร้าวขูดไปคั่วไฟอ่อนจนมีสีน้ำตาลอ่อน ๆ ระวังอย่าให้ไหม้ เสร็จแล้วพักไว้ให้เย็น บลูมเจลาตินโดยใช้น้ำเปล่าเทลงไปในเจลาติน แล้วทิ้งไว้ให้ละลาย ตั้งหม้อด้วยไฟอ่อน เทกะทิและนมอัลมอนด์ลงไป ตามด้วยอิริทริทอลและเจลาตินที่ละลายดีแล้ว คนให้เข้ากันจนเจลาตินละลาย ระวังอย่าให้เดือด ยกออกจากเตา เทลงพิมพ์ที่รองด้วยกระชอนเพื่อความเนียนเด้ง สูตรนี้ใช้พิมพ์สี่เหลี่ยมขนาด 7x7 นิ้ว นำไปแช่เย็นค้างคืนหรือขั้นต่ำ 4 ชั่วโมง เมื่อเจลาตินเซตตัวดีแล้ว แกะพุดดิ้งออกจากพิมพ์ ตัดเป็นชิ้นตามชอบ คลุกด้วยมะพร้าวคั่ว จัดเสิร์ฟ ไข่ขาว 2 ฟอง น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ สารให้ความหวาน (สตีเวีย) 1 ช้อนโต๊ะ กลิ่นอัลมอนด์ 1 ช้อนชา สารให้ความหนืด (แซนแทนกัม) 1 ช้อนชา พาร์มีซานชีส 30 กรัม อัลมอนสไลซ์ 100 กรัม ตีไข่ขาว น้ำมันมะพร้าว สตีเวีย และกลิ่นอัลมอนด์ ให้เข้ากัน ใส่แซนแทนกัม ตีให้เนียนไม่เป็นเม็ด ใส่พาร์มีซานชีส คนให้เข้ากัน ใส่อัลมอนด์สไลซ์ คลุกให้เข้ากัน เกลี่ยลงถาดอบ พยายามเกลี่ยให้บางที่สุด ในสูตรตักชิ้นละ 15 กรัม นำไปอบที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ประมาณ 15 นาที หรือจนขอบมีสีน้ำตาลอ่อน สตรอว์เบอร์รีแช่แข็ง 200 กรัม น้ำเปล่า 500 มิลลิลิตร อิริทริทอล 300 กรัม (สารให้ความหวานที่ไม่กระตุ้นระดับน้ำตาลในเลือด) น้ำมันพืช แช่เย็นจัด น้ำเปล่า 350 มิลลิลิตร ผงวุ้น 1 ช้อนชา อิริทริทอล 50 กรัม สีผสมอาหารตามชอบ สำหรับทำวุ้นสาคู น้ำเปล่า 350 มิลลิลิตร ผงวุ้น 1 ช้อนชา อิริทริทอล 50 กรัม น้ำกาแฟ สีผสมอาหารสีแดง เนื้อมะพร้าวอ่อน 100 กรัม น้ำเปล่า 150 มิลลิลิตร กะทิ 200 มิลลิลิตร (สามารถใช้นมอัลมอนด์แทนเพื่อลดไขมันและแคลอรี) ทำน้ำเชื่อมสตรอว์เบอร์รี โดยต้มสตรอว์เบอร์รีแช่แข็งในน้ำเปล่า ปล่อยให้เดือดสักพัก เพื่อเอารสและกลิ่นของสตรอว์เบอร์รีออกมา ขั้นตอนนี้ใครขี้เกียจล้างหม้อก็สามารถนำเข้าไมโครเวฟได้ เมื่อสตรอว์เบอร์รีเปื่อยยุ่ยแล้วก็นำมากรองเอากากออก และเทน้ำสตรอว์เบอร์รีกลับเข้าไปในหม้อเดิม เติมสารให้ความหวาน เมื่อสารให้ความหวานละลายหมดก็เทใส่ภาชนะไว้ และสามารถเก็บไว้ใช้เป็นไซรัปกินกับโซดาอร่อยแบบไร้แคลอรีไปอีก ทำสาคู (ปลอม) โดยนำน้ำมันพืชชนิดใดก็ได้ไปแช่เย็นโดยใส่ภาชนะที่มีทรงสูงสักหน่อย เพื่อให้วุ้นมีเวลาเซตตัวขณะหยดลงถึงก้นภาชนะ เตรียมไว้ ตั้งหม้อเปิดไฟ ใส่ผงวุ้นกับน้ำเปล่าลงไป รอจนร้อนและมีลักษณะข้น ใช้ไซริงค์หรือขวดบีบหยดวุ้นลงบนน้ำมันพืชที่เย็นจัด นำไปล้างน้ำมันออกให้สะอาด พักส่วนสาคูไว้ หากใครต้องการสีก็สามารถนำไปแช่ในน้ำที่ผสมสีผสมอาหารได้ ส่วนต่อมาคือทำวุ้นรสกาแฟและวุ้นแดง โดยผสมผงวุ้นลงในน้ำเปล่า เติมสารให้ความหวาน ต้มให้เดือดและเทลงภาชนะ แบ่งเป็น 2 ถ้วย ถ้วยหนึ่งใช้กาแฟชง 1 ช้อนโต๊ะ และอีกถ้วยใช้สีผสมอาหารแดง หรือใครจะเติมสตรอว์เบอร์รีไซรัปลงไปเพื่อเพิ่มความหอมก็ได้ ปล่อยให้เซตตัวแล้วตัดให้เป็นลูกเต๋า ตักวุ้นกาแฟและวุ้นแดงลงในอ่างผสม พร้อมสาคู (ปลอม) น้ำเปล่า น้ำกะทิ (หากใครต้องการลดแคลอรีลงสามารถใช้นมอัลมอนด์ นมพิสตาชิโอ นมถั่วเหลืองสำหรับสายคลีนแทนกะทิได้) เนื้อมะพร้าวอ่อน และสตรอว์เบอร์รีไซรัป คนให้เข้ากัน แช่เย็นแล้วจัดเสิร์ฟ วิปปิ้งครีม 200 มิลลิลิตร ไข่แดง (ขนาดเล็ก) 5 ฟอง สตีเวีย (แบบน้ำ) 1+1/2 ช้อนโต๊ะ ผงกาแฟ 2 ช้อนชา (ใครชอบเข้ม ๆ เพิ่มได้) ผงโกโก้ 2 ช้อนชา วิปครีม สำหรับแต่ง ผงโกโก้ สำหรับแต่ง เทครีมลงในอ่างผสม ตีจนตั้งยอดแข็งแล้วพักไว้ บนหม้อ double boiler ตีไข่แดงและสตีเวียให้เข้ากัน ตามด้วยผงกาแฟและผงโกโก้ ตีให้เข้ากันจนส่วนผสมข้น เทลงผสมในวิปครีมที่ตีไว้ ตักใส่แก้ว นำไปแช่แข็งอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ก่อนเสิร์ฟโปะหน้าด้วยวิปครีมและผงโกโก้ จบไปแล้วสำหรับเมนูขนมคีโต แต่ละเมนูน่าโดนทั้งนั้นเลย ใครที่กลัวอ้วนแต่อยากกินขนมลองทำกันดูนะคะ จะกินตบท้ายอาหารคาวหรือจะกินเพลิน ๆ ก็ตามสะดวกเลยจ้า คลิกเข้าไปดูสูตรอาหารคีโตอีกมากมายกันได้เลย
แสดงความคิดเห็น