รู้ไหมว่า แก้วมังกร ลูกไหนหวาน ลูกไหนเปรี้ยว ดูได้จากภายนอกนี่แหละ ! แชร์เคล็ดลับเลือกแก้วมังกรให้อร่อยฉ่ำน้ำแบบไม่ต้องชิม
แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่หลายคนชอบ เพราะทั้งอร่อย สดชื่น และแคลอรีต่ำ เหมาะกับคนที่อยากดูแลสุขภาพหรือกำลังคุมอาหาร แถมยังมีไฟเบอร์สูง ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย และอุดมไปด้วยวิตามินซีอีกด้วยค่ะ แต่เคยไหม ซื้อแก้วมังกรมาทีไร บางลูกก็หวานฉ่ำ แต่บางลูกก็เปรี้ยวจนต้องขมวดคิ้ว จริง ๆ แล้วการเลือกแก้วมังกรให้อร่อย ไม่ได้ยากเลยค่ะ เพียงแค่รู้จุดสังเกตสำคัญที่บ่งบอกถึงความสุกพอดี วันนี้เรารวม เคล็ดลับวิธีเลือกแก้วมังกร แบบง่าย ๆ ที่ใช้ได้จริงมาฝากกัน
วิธีเลือกแก้วมังกรที่สุกหวาน ฉ่ำน้ำ
วิธีเลือกแก้วมังกร ที่ดีเริ่มจากสังเกตลักษณะภายนอกนะคะ เพราะเราไม่สามารถชิมก่อนซื้อได้เสมอไป ผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามีจุดสังเกตหลัก ๆ ถึง 9 จุดที่ช่วยให้เราได้แก้วมังกรหวานฉ่ำน้ำเยอะ สดใหม่ทุกครั้ง มาดูกันทีละข้อเลย
1. ดูสีเปลือกเป็นอันดับแรก
นี่คือเคล็ดลับสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ แก้วมังกรที่สุกดีจะมีเปลือกสีแดงเข้มทั่วผล โดยเฉพาะบริเวณปลายผล ถ้าเห็นสีเขียวปนอยู่มาก แสดงว่ายังไม่สุกเต็มที่ รสชาติจะเปรี้ยวมากกว่าหวาน แต่ถ้าชอบรสชาติหวานอมเปรี้ยว ก็เลือกแบบที่มีสีแดงเป็นส่วนมาก แต่ยังมีสีเขียวเล็กน้อยก็ได้ค่ะ
2. สังเกตกลีบให้ดี
กลีบของแก้วมังกรเป็นตัวบอกความสุกที่ดีมาก ๆ แก้วมังกรที่สุกพอดี กลีบจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีชมพูหรือแดงเข้มจนถึงปลายกลีบ นอกจากนี้ ระยะห่างของกลีบก็สำคัญด้วย ถ้ากลีบห่างกันมาก แสดงว่าเนื้อข้างในอวบอิ่ม มีน้ำเยอะ จะหวานฉ่ำแน่นอน
3. สัมผัสผิวเปลือก
ลองจับดูว่าผิวเปลือกเนียนเรียบไหม แก้วมังกรที่สดใหม่ผิวต้องเนียนเรียบ เต่งตึง นิ่มพอดี ไม่ยุบ ไม่มีรอยช้ำหรือแตก ถ้าผิวเหี่ยว แสดงว่าไม่สด อาจเสียเร็ว
4. ยกดูน้ำหนัก
วิธีนี้ใช้ได้ผลจริงมากๆ ค่ะ ลองยกแก้วมังกรขึ้นมาชั่งน้ำหนักในมือดู ลูกไหนที่หนักกว่าเมื่อเทียบกับขนาดที่เท่ากัน แสดงว่ามีปริมาณน้ำในเนื้อสูง สดใหม่ หรือลองเคาะเบา ๆ ดู ถ้าได้ยินเสียงทุ้ม ๆ นั่นแหละคือแก้วมังกรที่สุกดี แต่ถ้าหนักเบา แสดงว่าเนื้อเริ่มแห้งแล้ว ไม่ชุ่มฉ่ำ
5. เลือกขนาดกลางพอดี
อย่าตาโตเลือกผลใหญ่มากเกินไป แก้วมังกรขนาดกลางประมาณ 300-500 กรัม หรือ 200-300 กรัม จะมีรสชาติหวานกลมกล่อมทั้งผล ถ้าผลใหญ่เกินไป เช่น 600-700 กรัมขึ้นไป อาจหวานจัดแค่ตรงกลาง ส่วนรอบ ๆ ขอบอาจจืดหรือเปรี้ยวได้ แม้จะสุกเต็มที่แล้วก็ตาม
6. ดมกลิ่นเบา ๆ
แก้วมังกรที่สุกดีจะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เป็นเอกลักษณ์ ลองดมดูก่อนซื้อ ถ้ามีกลิ่นหอมนุ่ม ๆ แสดงว่าสุกพอดี พร้อมกินแล้ว
7. สังเกตก้านหรือขั้ว
ถ้าแก้วมังกรยังมีก้านหรือหนวดติดอยู่ ให้ดูว่าอวบน้ำไหม ไม่เหี่ยวเฉา หากมีสีเหลืองปน แสดงว่าสุกพอดี ส่วนบริเวณขั้วหรือรอยตัดไม่ควรมีสีดำคล้ำ ถ้ามีแปลว่าตัดมานานหรือสุกเกินไปแล้ว
8. ดูความสมบูรณ์ของปลายผล
ปลายแก้วมังกรควรมีสีเขียวสด ไม่มีรอยเหี่ยว ไม่มีรอยช้ำ ถ้าปลายผลนิ่มหรือมีสีน้ำตาล แสดงว่าถูกเก็บมานานแล้ว เนื้อข้างในอาจไม่สดและเริ่มแห้ง
9. เลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้
วิธีนี้ใช้ได้ผลดีมากเลยจริง ๆ ซื้อจากร้านที่มีมาตรฐาน ตลาดสดที่มีการคัดสรรผลไม้ดี ๆ หรือดีที่สุดคือซื้อจากคนในชุมชน จากสวนโดยตรง จะได้แก้วมังกรสดใหม่ อร่อยแน่นอน
กินแก้วมังกรอย่างไรให้อร่อยยิ่งขึ้น
ซื้อ แก้วมังกร ดี ๆ มาแล้ว ต้องกินให้ถูกวิธีถึงจะฟินนะคะ เริ่มจากแช่แก้วมังกรทั้งเปลือกในตู้เย็นก่อนสัก 1-2 ชั่วโมง จะทำให้เนื้อเย็นฉ่ำ กินแล้วสดชื่นมากขึ้น เวลาผ่า ให้ผ่าตามยาวทั้งเปลือก แล้วใช้ช้อนตักเนื้อออกง่าย ๆ อย่าลืมว่ามีเม็ดดำเล็ก ๆ เยอะ ก็กินทั้งเม็ดได้เลยค่ะ เพราะเม็ดนั้นช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร หรือถ้าใครอยากเพิ่มรสชาติ ลองหั่นเป็นชิ้นผสมกับโยเกิร์ต สลัด หรือทำสมูทตี้ก็อร่อยไปอีกแบบ กินตอนเช้าหรือเป็นของว่างยามบ่าย ดีต่อสุขภาพสุด ๆ
เคล็ดลับในการเก็บรักษาแก้วมังกร
ถ้าใคร เลือกซื้อแก้วมังกร มาแล้ว แต่ยังไม่กินทันที อย่าปล่อยไว้ข้างนอกนะคะ เพราะแก้วมังกรเสียเร็ว ควรเก็บทั้งลูกในตู้เย็นช่องผักผลไม้ จะอยู่ได้ 3-5 วัน หรือถ้าตัดแล้ว ให้ห่อด้วยพลาสติกแรปหรือใส่กล่องปิดสนิท หลีกเลี่ยงการวางใกล้ผลไม้อื่นที่สุกเร็วอย่างกล้วย เพราะจะทำให้สุกเร็วเกินไป และถ้าเหลือเปลือก อย่าทิ้งนะคะ นำไปวางโคนต้นไม้เป็นปุ๋ยธรรมชาติได้เลย สิ่งสำคัญคือเลือกแก้วมังกรที่ไม่มีรอยช้ำตั้งแต่แรก เพราะรอยเหล่านั้นอาจทำให้เสียเร็วขึ้น
เห็นไหมคะว่า การเลือกแก้วมังกรสุกหวาน อร่อยฉ่ำน้ำ ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงสังเกตจุดต่าง ๆ อย่างสีเปลือก น้ำหนัก และกลีบ ก็ได้ของดีแล้ว แถมยังมีวิธีกินและเก็บรักษาให้สดนาน ครั้งหน้าลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ดูนะคะ รับรองว่ากินแก้วมังกรจะอร่อยถูกใจแน่นอน






