คู่มือ เก็บอาหารแห้ง ฉบับเข้าใจง่ายสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน น้ำท่วม หรือเวลาต้องตุนของไว้ วิธีเลือกภาชนะ เทคนิคกันความชื้น และการจัดเก็บให้คงคุณภาพ
ช่วงนี้หลายคนคงได้เห็นข่าวน้ำท่วมหาดใหญ่ หรือพื้นที่เสี่ยงหลายจังหวัด ทำให้กลับมาคิดเรื่อง “การเตรียมเสบียงยามฉุกเฉิน” อีกครั้ง โดยเฉพาะ อาหารแห้ง ที่เป็นของคู่ใจยามสถานการณ์ไม่ปกติ เพราะเก็บได้นาน กินง่าย และเหมาะสุด ๆ เวลาการออกไปซื้อของไม่สะดวก
แต่การตุนของแห้งก็มีเทคนิคเหมือนกันนะคะ ไม่ใช่ว่าซื้อเยอะ ๆ แล้วโยน ๆ ไว้ เดี๋ยวก็ชื้น เดี๋ยวก็เหม็นหืน ต้องทิ้งแบบน่าเสียดาย ดังนั้นบทความนี้จะพาไปดูว่า ควรเลือกของแห้งแบบไหน วิธีเก็บอย่างไรให้ปลอดภัย และต้องเตรียมไว้แค่ไหนถึงจะเหมาะสม พร้อมแล้วไปเริ่มกันเลยค่ะ
อาหารแห้งประเภทไหนบ้างที่ควรมีไว้ในคลัง ?
ของแห้งที่ดีต้องเก็บได้นาน มีคุณค่าทางอาหาร และปรุงง่ายเมื่อถึงเวลาฉุกเฉิน ลองดู 4 กลุ่มนี้ที่เราแนะนำให้มีติดบ้านไว้เลยค่ะ
กลุ่มข้าวและธัญพืช
- ข้าวสาร: ควรเลือกข้าวขาวหรือข้าวนึ่งที่เก็บได้นานกว่าข้าวกล้อง
- ถั่วชนิดต่าง ๆ: เช่น ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วลิสง เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี เก็บได้นาน
- ข้าวโอ๊ต/ธัญพืชสำเร็จรูป: สำหรับมื้อเช้าที่รวดเร็ว
กลุ่มโปรตีนและเนื้อสัตว์แปรรูป
- ปลาแห้ง/กุ้งแห้ง: โปรตีนสูง แถมหอมอร่อย
- หมูหยอง/เนื้อหยอง/อาหารกระป๋อง: เช่น ปลากระป๋อง ทูน่ากระป๋อง ซึ่งแม้จะไม่ใช่ของแห้ง 100% แต่เก็บได้นานและมีโปรตีนสูง กินง่าย เปิดกินได้เลย
- ไข่เค็ม: โปรตีนจากไข่ เก็บได้นานกว่าไข่สด
กลุ่มผักและผลไม้
- เห็ดหอม พริกแห้ง ช่วยเพิ่มรสชาติและไฟเบอร์
- ผักอบแห้ง: เช่น แครอท ข้าวโพด ผักชี อุดมไปด้วยวิตามิน
- ผลไม้อบแห้ง: เช่น ลูกเกด อินทผาลัม กล้วย ช่วยเพิ่มพลังงาน
เครื่องปรุงรสและอื่น ๆ
- น้ำตาล เกลือ น้ำปลาผง/ซอสปรุงรสผง: สำคัญมาก เพราะขาดรสชาติก็ขาดกำลังใจในการกิน
- กาแฟ/ชาสำเร็จรูป ชาซอง และนมผง: ช่วยให้ชีวิตยามฉุกเฉินไม่ขาดความสดชื่น
หลักการสำคัญของการเก็บอาหารแห้งให้คงทน
อาหารแห้งจะอยู่ได้นานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ 5 ศัตรูตัวร้าย ที่เราต้องป้องกัน มาดูกันว่าแต่ละตัวคืออะไร และจัดการยังไง
1. กันความชื้น (Moisture Control)
ความชื้นคือศัตรูตัวแรกและตัวร้ายที่สุดของอาหารแห้ง เพราะความชื้นทำให้เกิดเชื้อรา ทำให้อาหารเปียก บูด เน่าเสียได้ง่าย โดยเฉพาะในบ้านเรารอบ ๆ ทะเล หรือภาคใต้ที่อากาศชื้นมาก
- วิธีแก้ ใช้ ซองดูดความชื้น (Silica Gel) หย่อนลงในภาชนะที่เก็บอาหารแห้ง หรือใช้ถุงสูญญากาศซีลให้แน่น
2. กันอากาศออกให้ได้มากที่สุด (Air Control)
ออกซิเจนในอากาศทำให้อาหารเกิดการออกซิเดชั่น ไขมันหืน สีเปลี่ยน และเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น
- วิธีแก้ ใช้ ถุงสูญญากาศ (Vacuum Bag) หรือ ซองดูดออกซิเจน (Oxygen Absorber) ถ้าไม่มีก็พยายามบีบอากาศออกจากถุงให้มากที่สุดก่อนซีล
3. กันแสง (Light Control)
แสงแดด โดยเฉพาะแสง UV ทำลายวิตามินในอาหาร ทำให้สีซีดจาง รสชาติเปลี่ยน
- วิธีแก้ เก็บใน ภาชนะสีทึบ หรือห่อด้วยกระดาษทึบแสง หรือเก็บในที่มืด ๆ เช่น ตู้เก็บของ
4. ควบคุมอุณหภูมิ (Temperature Control)
ความร้อนทำให้อาหารเสื่อมเร็ว กลิ่นหาย รสชาติเปลี่ยน และอาจทำให้เกิดแมลงได้
- วิธีแก้ เก็บในที่เย็นและอุณหภูมิคงที่ ห้ามตากแดด และหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่ร้อนจัด เช่น ข้างเตา ใกล้หน้าต่างที่โดนแดด
5. กันแมลงและสัตว์ฟันแทะ (Pest Control)
หนู แมลงสาบ มด ตัวแดง เป็นศัตรูที่ทำลายอาหารแห้งได้อย่างรวดเร็ว
- วิธีแก้ เก็บในภาชนะที่ ปิดมิดชิด แน่นสนิท เช่น กล่องพลาสติก Food Grade ที่มีฝาล็อค หรือโหลแก้วที่ซีลแน่น
ขั้นตอนง่าย ๆ ในการเก็บอาหารแห้งให้ถูกสุขลักษณะ
รู้จักศัตรูแล้ว ต่อไปมาดูขั้นตอนการเก็บที่ถูกต้องกันเลย
1. ทำความสะอาดเบื้องต้น
ก่อนจะเก็บอาหารแห้ง ควรตรวจสอบว่า แห้งสนิทดีหรือยัง ถ้ายังชื้นอยู่ ควรตากแดดเพิ่ม หรืออบให้แห้งก่อน ถ้าเป็นถั่วหรือธัญพืช ควรคัดแยกเมล็ดที่เสีย เปลือก หรือสิ่งสกปรกออก จากนั้นทำความสะอาดภาชนะที่จะใช้เก็บให้แห้งสนิท ไม่มีความชื้นเหลืออยู่เลย
2. เลือกภาชนะที่ใช่ ปลอดภัยชัวร์
เลือกภาชนะให้เหมาะกับประเภทของอาหารและระยะเวลาที่ต้องการเก็บ โดยเฉพาะภาชนะพลาสติก ควรเลือกที่ระบุว่าเป็น Food Contact Grade เท่านั้น
ภาชนะที่แนะนำ :
- ถุงซิปล็อกหนา: เก็บระยะสั้น 1-3 เดือน เหมาะกับวัตถุดิบที่ต้องการไล่อากาศ
- ถุงสูญญากาศ: เก็บได้นาน 6 เดือน ถึง 1 ปี เหมาะกับปลาแห้ง กุ้งแห้ง
- กล่องพลาสติกมีฝาล็อค: เก็บได้นาน 1-2 ปี เหมาะกับข้าวสาร ถั่ว
- โหลแก้วมีซีลยาง: ดีที่สุดสำหรับการเก็บรักษาในระยะยาวและป้องกันความชื้น 100% เหมาะกับเครื่องเทศ กาแฟ ชา
3. เทคนิคการเก็บเพื่อยืดอายุ
- ไล่อากาศออกให้มากที่สุด ก่อนซีลหรือปิดฝา
- ใช้มือบีบถุง หรือใช้หลอดดูดอากาศออก
- แพ็กแยกส่วนตามปริมาณการใช้ เช่น แบ่งข้าวสารเป็นถุงละ 1-2 กิโล เปิดใช้ทีละถุง ไม่ต้องเปิดกองใหญ่
- ใส่ซองดูดความชื้นหรือดูดออกซิเจน ถ้าเก็บนาน ๆ มากกว่า 6 เดือนขึ้นไป
- อย่าเก็บใกล้ของที่มีกลิ่นแรง เช่น น้ำยาทำความสะอาด สีทาบ้าน เพราะอาหารแห้งจะดูดกลิ่นได้
4. ติดป้ายกำกับให้ชัดเจน
อย่าลืม ! ติดสติกเกอร์ หรือเขียนกำกับไว้บนภาชนะทุกอัน โดยระบุรายละเอียด เช่น ชื่ออาหาร (เช่น ข้าวหอมมะลิ, ปลาแห้ง, ถั่วเขียว) วันที่บรรจุ (เช่น 26/11/2568) และวันหมดอายุโดยประมาณ (ถ้ามี) การติดป้ายช่วยให้เรารู้ว่าของไหนเก็บไว้นานแล้ว ควรใช้ก่อน-หลัง
จัดเก็บให้เป็นระเบียบ ชีวิตก็ง่ายขึ้น
เมื่อเก็บเสร็จแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการจัดวางและดูแลในระยะยาว ดังนี้
1. พื้นที่ที่เหมาะสม
- แห้งและเย็น: อย่าเก็บไว้ใกล้เตาแก๊ส หน้าต่าง หรือบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิสูง
- สูงจากพื้น: เพื่อความปลอดภัยจากความชื้นและสัตว์นำโรค ควรเก็บอาหารให้ สูงจากพื้นอย่างน้อย 60 เซนติเมตร แต่ถ้าเป็นช่วงน้ำท่วม ควรหาที่เก็บให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้
2. ระบบเข้าก่อนออกก่อน (FIFO)
จำไว้เสมอว่า ของเก่าต้องกินก่อน (First-In, First-Out) จัดเก็บของที่ตุนใหม่ไว้ด้านหลัง และของที่ใกล้หมดอายุไว้ด้านหน้า เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ ควรตรวจสอบเสบียงทั้งหมด อย่างน้อยปีละครั้ง เช่น ตรวจเช็กว่าภาชนะแตก รั่ว หรือเปียกหรือไม่ ดมกลิ่น ดูว่ามีกลิ่นแปลก ๆ เหม็นอับ หรือเป็นรา หรือไม่ เช็คว่ามีแมลงหรือไม่ (ถ้าพบปัญหา ทิ้งทันที อย่ากินเสี่ยง) และหมุนเวียนของใหม่เข้ามา ทดแทนของที่ใกล้หมดอายุ
การเตรียมเสบียงอาหารแห้งสำรองไว้ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก หรือทำให้เสียเงินเปล่าอย่างที่หลายคนคิด แต่มันคือ ความรับผิดชอบต่อตัวเองและคนที่เรารัก ในยามที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จำไว้ว่า การมีของแห้งสำรองไว้ 1-2 สัปดาห์ก็เพียงพอแล้วสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก ไม่ต้องตุนมากเกินไปจนเป็นภาระ แต่ก็ไม่ควรมือเปล่าเลยเมื่อวิกฤตมาถึง
บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, fooddocs.com






