1. ผักโขมอบชีส
ส่วนผสม ผักโขมอบชีสง่าย ๆ
- ผักโขมแช่แข็ง
- หอมใหญ่ 1/2 หัว
- เนยสด
- แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ช้อนโต๊ะ
- แฮมหั่นเต๋า (หรือเบคอน)
- นมจืด
- เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
- พริกไทยป่น
- น้ำตาลทราย เล็กน้อย
- ออริกาโน่ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
- มอสซาเรลล่าชีส
- เชดดาร์ชีส
- พาร์มีซานชีสขูด (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
อุปกรณ์
- ถาดอะลูมิเนียมฟอยล์
- เตาอบ
วิธีทำผักโขมอบชีส
1. เอาผักโขมไปละลายน้ำแข็งก่อน โดยแช่น้ำทิ้งไว้ จากนั้นก็เอามาหั่นหยาบ ๆ
2. หั่นหอมใหญ่ โดยวิธีการหั่นหอมใหญ่ แนะนำให้เอามีดเฉือนเฉียง ๆ ให้ขาดแค่ฝั่งเดียว พอหั่นขวางอีกครั้งจะได้หั่นเต๋าได้ง่าย ๆ
3. ตั้งกระทะใส่เนยและหอมใหญ่ลงไปผัดพอสุก จากนั้นใส่แป้งสาลีอเนกประสงค์ลงไป
4. ใส่แฮมและนมจืดไปลงไปส่วนหนึ่งก่อน (เพื่อให้แป้งไม่ไหม้ติดกระทะ) ผัดสักครู่ให้แป้งเป็นก้อน จากนั้นใส่ผักโขมลงไป เติมนมจืดลงไปอีก ปรุงรสด้วยเกลือป่น พริกไทยป่น และน้ำตาลทรายนิดหน่อย
5. จากนั้นก็เทใส่จานพักไว้ให้คลายร้อนก่อน ใส่ลงในถาดฟอยล์
6. วางมอสซาเรลล่าชีสบนผักโขม แซมด้วยเชดดาร์ชีสเล็กน้อยเพื่อให้มีรสเค็มอร่อยขึ้น หรือจะโรยพาร์มีซานชีสให้กลิ่นหอม
7. นำเข้าเตาอบ โดยใช้ไฟบน-ล่าง เวลาประมาณ 10-12 นาที นำออกมาโรยออริกาโน่ พร้อมเสิร์ฟ
2. ยำผักกูดปลาสลิดกรอบ
ส่วนผสม ยำผักกูดปลาสลิดกรอบ
- ผักกูดหั่นท่อนยาว 1 นิ้ว 100 กรัม
- ถั่วลิสงคั่วบด 1 ช้อนโต๊ะ + 1/2 ช้อนโต๊ะ
- หัวกะทิ 1/4 ถ้วยตวง
- ปลาสลิดกรอบ 100 กรัม
- หอมแดงเจียว 1+1/2 ช้อนโต๊ะ
ส่วนผสม น้ำยำ
- พริกชี้ฟ้าแห้ง 3 เม็ด
- หอมแดง 4 หัว
- กระเทียม 5 กลีบ
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลปี๊บ 1+1/2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำยำผักกูดปลาสลิดกรอบ
1. ทำน้ำยำ โดยคั่วพริกชี้ฟ้า หอมแดง และกระเทียม ให้หอมแล้วนำมาโขลกให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และน้ำมะนาว คนให้เข้ากัน
2. เคล้าผักกูดกับน้ำยำเบา ๆ ให้เข้ากัน ใส่ถั่วลิสง ตักใส่จาน ราดหัวกะทิ โรยปลาสลิดกรอบกับหอมแดงเจียว จัดเสิร์ฟ
3. ตำมะเขือยาว
ส่วนผสม ตำมะเขือยาว
- มะเขือยาว
- หอมแดง
- กระเทียม
- พริกจินดา
- พริกเหลือง
- น้ำบูดู หรือน้ำปลา หรือปลาร้า ตามชอบ
- น้ำมะนาว
- น้ำตาลปี๊บเล็กน้อย
- ต้นหอมซอย
วิธีทำตำมะเขือยาว
1. ย่างมะเขือให้สุกจนนิ่ม แช่ในน้ำเย็นจัด ปอกเปลือกออกจนหมดหั่นเป็นท่อนแล้วฉีกเป็นเส้น
2. คั่วหอมแดง กระเทียม พริกจินดา และพริกเหลือง ให้นิ่มและมีกลิ่นหอม
3. โขลกหอมแดง กระเทียม พริกจินดา และพริกเหลือง ให้แหลก ใส่มะเขือยาวลงไปโขลกให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำบูดู น้ำมะนาว และน้ำตาลปี๊บ ชิมรสตามชอบ จัดใส่จานกินแกล้มกับปลาแดดเดียว ไข่ต้ม ผักสด และผักลวก ตามชอบ
4. แกงผักหวานป่า
ส่วนผสม แกงผักหวานป่า
- ปลากด (รมควัน)
- กุ้งสด
- ตัวปลาร้า
- น้ำเปล่า
- พริกขี้หนูแห้ง
- หอมแดง
- กระเทียม
- ผักหวานป่า
วิธีทำแกงผักหวานป่า
1. แกะเนื้อปลากดเอาแต่เฉพาะเนื้อ จากนั้นแกะเปลือกกุ้งให้เหลือหาง เตรียมไว้ (ส่วนก้างปลา หัวกุ้ง และเปลือกกุ้งยังไม่ต้องทิ้ง เก็บไว้ต้มน้ำซุป)
2. นำเนื้อปลาไปคั่วในกระทะด้วยไฟแรง ๆ โดยใช้ตะหลิวผัดเร็ว ๆ ตลอดเวลา สักพักปลาจะมีน้ำมันซึมออกมา ให้คั่วไปเรื่อย ๆ จนปลามีกลิ่นหอมและกรอบนำขึ้นจากกระทะ เตรียมไว้
3. ใส่ก้างปลา หัวกุ้ง และเปลือกกุ้ง ลงไปต้ม ตามด้วยตัวปลาร้า (เพื่อความเค็มและหอม) จัดการใส่น้ำเปล่าลงไป
4. นำขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ เคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ สักครึ่งชั่วโมง (กะว่าความหอมของหัวกุ้งและก้างปลากรอบ รวมทั้งเนื้อปลาร้าได้ละลายหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวจนได้ที่) กรองน้ำซุป เอาพวกกากออกมาทิ้งให้หมด แล้วเอาน้ำซุปใส่หม้อพักเอาไว้ เปิดไฟอุ่นเคี่ยวไปเรื่อย ๆ
5. ตำเครื่องแกง โดยโขลกพริกขี้หนูแห้งให้ละเอียด ตามด้วยหอมแดงและกระเทียม โขลกให้ละเอียด
6. ตักเครื่องแกงใส่ลงในหม้อน้ำซุปที่กรองและตั้งไฟไว้แล้ว ชิมรสชาติ ใส่กุ้งลงไป ตามด้วยผักหวานป่า เอาทัพพีกดให้จมน้ำแกงก็เป็นอันเสร็จ ปิดไฟ โรยหน้าด้วยปลากรอบ
5. สะเดาน้ำปลาหวาน
ส่วนผสม สะเดาน้ำปลาหวาน
- ยอดสะเดา
- หอมแดง 5 หัว
- กระเทียม 10 กลีบใหญ่
- พริกแห้ง 9 เม็ด
- น้ำมัน สำหรับทอด
- น้ำตาลมะพร้าว 50 กรัม
- น้ำเปล่า 75 มิลลิลิตร
- น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนชา
- ปลา สำหรับย่าง
วิธีทำสะเดาน้ำปลาหวาน
1. นำสะเดามาลวกน้ำร้อนแค่พอสะดุ้ง เติมน้ำตาลทรายเล็กน้อย จากนั้นนำไปแช่น้ำเย็นจัด แล้วนำขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2. เตรียมย่างปลา ถ้าปลามีเกล็ดย่างทั้งเกล็ดเลย ง่าย เร็ว เนื้อนุ่มอร่อย
3. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะพอร้อน นำหอมแดงซอย กระเทียมซอย และพริกแห้ง มาทอดจนเหลืองกรอบ พักไว้
4. ทำน้ำปลาหวานเริ่มจากตั้งกระทะใช้ไฟอ่อน ใส่น้ำตาลมะพร้าว เติมน้ำเปล่า และน้ำปลา คนจนละลายชิมรสตามชอบ แอนชอบที่จะเติมน้ำตาลทรายเพิ่มไปนิดหนึ่ง จากนั้นเติมน้ำมะขามเปียกเล็กน้อย พอเริ่มหนืดให้ยกลง ตักใส่ถ้วยพร้อมเสิร์ฟ
6. ดอกขจรผัดน้ำมันหอย
ส่วนผสม ดอกขจรผัดน้ำมันหอย
- กุ้งสด
- แครอต
- เห็ดออรินจิ
- ดอกขจร
- น้ำมันพืช
- กระเทียม (บุบพอแตก)
- น้ำตาลทราย
- ซีอิ๊วขาว
- น้ำมันหอย
วิธีทำดอกขจรผัดน้ำมันหอย
1. นำกุ้งสดมาแกะเปลือก ผ่าหลังแล้วล้างให้สะอาด
2. ตั้งกระทะเทน้ำมันพืชลงไป นำกระเทียมลงไปเจียวพอมีกลิ่นหอม ใส่กุ้งสดผัดพอสุก ตามด้วยดอกขจร แครอต และเห็ด ผัดให้พอสุก
3. ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว และน้ำมันหอย ผัดจนทุกอย่างสุก
7. ข้าวผัดสะตอคลุกกะปิ
ส่วนผสม ข้าวผัดกะปิ
- น้ำมันพืช 1 ช้อนชา (ถ้าไม่ได้ใช้กระทะเทฟลอนอาจจะต้องใส่เพิ่มอีกนะคะ)
- กระเทียมซอย 1/2 ช้อนโต๊ะ (ไม่ใส่ก็ได้ค่ะ)
- พริกแดงซอย
- ข้าวค้างคืน 350 กรัม
- กะปิ 1 ช้อนชา
- น้ำตาลทรายหยิบมือ
- น้ำปลา 1/2 ช้อนชา
ส่วนผสม ผัดสะตอ
- น้ำมัน 1 ช้อนชา (ถ้าไม่ได้ใช้กระทะเทฟลอนอาจจะต้องใส่เพิ่มอีกนะคะ)
- กระเทียมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
- พริกแดงซอย
- หมูสามชั้น 120 กรัม
- สะตอ 80 กรัม
- น้ำปลา 1/2 ช้อนชา
- กะปิ 1+1/2 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
- น้ำมันหอย 1 ช้อนชา
- มะนาว 1 ซีก
วิธีทำข้าวผัดสะตอกะปิ
1. ทำข้าวผัดโดยเปิดเตาและใช้ไฟกลาง ใส่น้ำมันลงไป เมื่อกระทะร้อนแล้วให้ใส่กระเทียมและพริกเล็กน้อยลงไป ผัดให้เข้ากันและรอจนกระเทียมมีสีเหลืองทองแล้วใส่ข้าวสวยลงไป
2. ปรุงรสด้วยน้ำปลา กะปิ และน้ำตาลทราย จากนั้นผัดให้เข้ากัน เสร็จแล้วตักข้าวขึ้นมาพักไว้
3. จากนั้นมาผัดสะตอค่ะ งวดนี้ใช้ไฟแรง ใส่น้ำมันลงไป เมื่อกระทะร้อนแล้วใส่กระเทียมและพริกแดงลงไปผัดให้มีกลิ่นหอม ใส่หมูสามชั้น ผัดให้สุก แล้วค่อยใส่สะตอลงไป จากนั้นก็ใส่พวกเครื่องปรุง ได้แก่ น้ำปลา กะปิ น้ำตาลทราย และน้ำมันหอย แล้วผัดให้เข้ากัน บีบมะนาว แล้วใส่ข้าวคลุกกะปิที่พักไว้ลงไปผัดให้เข้ากัน
4. ปิดเตาแล้วใส่พริกแดงที่เหลือลงไป แล้วคลุกให้เข้ากัน แค่นี้ก็เสร็จแล้ว
8. ข้าวไข่ข้นพริกแกงโหระพา
ส่วนผสม ข้าวไข่ข้นพริกแกงโหระพา
- ไข่ไก่ (ฟองเล็ก) 4 ฟอง
- น้ำพริกแกง 1 ช้อนโต๊ะ
- แหนม (อันใหญ่) 1/2 อัน
- ใบโหระพา ตามใจชอบ
- พริกขี้หนูสวน 15 เม็ด
- ผงปรุงรส เล็กน้อย
- น้ำมันพืช (สำหรับทอด)
- ข้าวสวยหุงสุก
วิธีทำข้าวไข่ข้นพริกแกงโหระพา
1. ตีส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน
2. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ รอจนน้ำมันร้อน เทส่วนผสมไข่ที่ตีไว้ลงทอด (เขี่ยให้ไข่ร่อน ๆ จะได้ตักง่าย ๆ)
3. พอไข่สุกตักโปะลงบนข้าวสวยร้อน ๆ พร้อมเสิร์ฟ
9. ต้มเลือดหมูตำลึง
ส่วนผสม ต้มเลือดหมู
- กระดูกหมู 300 กรัม
- กระเทียม 2 หัว
- รากผักชี 2 ราก
- พริกไทยเม็ด 1 ช้อนโต๊ะ
- ตับหมู 200 กรัม
- หัวใจหมู 200 กรัม
- เลือดหมู 1 ก้อน
- กระเพาะหมู 200 กรัม
- ไส้อ่อนและไส้ใหญ่หมู 300 กรัม
- พริกไทยป่น
- ต้นหอมกับผักชีซอย 1/2 ถ้วย
- กากหมูกระเทียมเจียว 1/2 ถ้วย
- ตั้งฉ่าย
- ใบตำลึง 1 ถ้วย
- ซีอิ๊วขาว
- พริกน้ำส้ม
- พริกป่น
- น้ำตาลทราย
วิธีทำต้มเลือดหมู
1. จัดการล้างกระดูกหมูให้สะอาด ใส่ลงไปต้มกับน้ำเดือด ใส่กระเทียม ไม่ต้องทุบ ไม่ต้องปอกเปลือก แต่ล้างก่อน ใส่รากผักชี ใส่ถุงพริกไทยลงไป ตามด้วยกระเพาะหมูและไส้ใหญ่หมู ต้มประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจนสุกเปื่อยก่อน
2. หั่นตับสดเป็นชิ้นบางแต่ขนาดใหญ่ และแล่หัวใจหมูเป็นชิ้นบางแต่ใหญ่เหมือนตับ พักไว้
3. เอาเลือดหมูมาหั่นสี่เหลี่ยมเต๋าพอคำ พอไส้อ่อนต้มสุกเปื่อยแล้วก็หั่นเป็นชิ้นพอคำ รอไว้เช่นกัน
4. เคี่ยวน้ำซุปกระดูกหมูใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง หมั่นช้อนฟองออกด้วย นำส่วนผสมเครื่องในทุกอย่าง ได้แก่ เลือดหมู หัวใจหมู กระเพาะหมู ไส้อ่อน และไส้ใหญ่หมู ลงไปลวกในน้ำซุป จัดใส่ถ้วยที่รองก้นชามด้วยตำลึงและตั้งฉ่าย ใส่กากหมูกระเทียมเจียว จากนั้นเติมน้ำซุปร้อน ๆ ลงไป โรยหน้าด้วยพริกไทย ต้นหอม และผักชีซอย ปรุงรสด้วยพริกป่น พริกน้ำส้ม น้ำตาลทราย และน้ำปลา เสิร์ฟกับข้าวสวยร้อน ๆ
10. กรานิต้าฟักข้าวเสาวรส
ส่วนผสม กรานิต้าฟักข้าวเสาวรส
- ฟักข้าวสุก
- น้ำเสาวรส
- น้ำตาลทรายป่น
ส่วนผสม กรานิต้าฟักข้าวเสาวรส
- ฟักข้าวสุก
- น้ำเสาวรส
- น้ำตาลทรายป่น
วิธีทำกรานิต้าฟักข้าวเสาวรส
1. เริ่มจากการแยกเม็ดกับเนื้อฟักข้าวออกจากกัน ใช้ช้อนตักได้เลยครับผม คว้านออกได้ทั้งหมด เทรวมกันแล้วนำไปปั่น จากนั้นก็นำไปต้มให้เดือด 1 ครั้ง
2. เติมน้ำตาลทรายลงไปเล็กน้อย แล้วก็เติมน้ำเสาวรสลงไป ในสูตรใช้อัตราส่วน ฟักข้าว 1 ลูก ต่อน้ำเสาวรส 1 ลิตร ถ้าชอบเปรี้ยวไม่ต้องเติมน้ำตาลทรายก็ได้ เมื่อเติมน้ำเสาวรสแล้วก็นำใส่ภาชนะที่จะแช่เย็น พอแช่เย็นจนเริ่มเป็นเกล็ดน้ำแข็ง แต่ยังไม่ต้องแข็งมาก เอาออกมาคน ยิ่งนำออกมาคนบ่อย เนื้อจะยิ่งเนียน ในสูตรคน 2 รอบ พร้อมเสิร์ฟ