x close

13 ของกินเล่นแบบไทย ๆ อาหารว่างอร่อยทำง่าย เอาใจคนชอบเคี้ยว

          โอ๊ย… ดีงามทุกอย่าง กับเมนูของกินเล่นแบบไทย ๆ สูตรอาหารว่างง่าย ๆ จะกินพอคลายหิว หรือกินเอาอิ่มก็ตามสะดวก แชร์ไปทำตามได้เลยทุกคน
          เมนูของกินเล่นต่างประเทศ เช่น คัพเค้ก ซีเรียลบาร์ โดนัท เป็นต้น แม้จะอร่อยแต่ทำกินบ่อยก็แอบเบื่อ ลองมาทำของกินเล่นไทยกันบ้างดีไหม กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำของกินเล่นแบบไทย ๆ เช่น กล้วยน้ำว้าอบ กล้วยตาก เผือกหิมะ กระทงทอง ถั่วกรอบแก้ว ปั้นขลิบ เป็นต้น วันหยุดนี้มาทำตุนเก็บไว้กินเวลาปากว่างกันดีกว่าจ้า
 

1. กล้วยน้ำว้าอบ

          ใครอยากทำของกินเล่นเพื่อสุขภาพต้องจัดเมนูกล้วยน้ำว้าอบสูตรนี้เลยค่ะ ส่วนผสมมีแค่กล้วยกับงา ไม่ต้องปรุงรสหวานเพิ่ม เอาไปอบหนึ่งชั่วโมงนิด ๆ แค่นี้ก็พร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ
 

ส่วนผสม กล้วยน้ำว้าอบ

  • กล้วยน้ำว้า
  • งาขาว
     

วิธีทำกล้วยน้ำว้าอบ

     1. ปอกเปลือกกล้วย และหั่นกล้วยให้เป็นแนวยาว แบ่งเป็น 4 ส่วน วางกระดาษรองอบในถาด จากนั้นนำกล้วยมาวางเรียงกัน โรยงาขาว
     2. นำเข้าเตาอบโดยใช้ไฟอ่อนที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส อบเป็นเวลา 70-90 นาที

 

ดูวิธีทำ กล้วยน้ำว้าอบ เพิ่มเติมคลิก

2. เฟรนช์ฟรายส์มันม่วง

           เมนูมันแท่งทอดคงต้องชิดซ้ายให้กับเมนูมันม่วงทอดแล้วล่ะ เริ่มจากหั่นมันม่วงเป็นแท่งหนาตามชอบ เสร็จแล้วเอาไปทอดจนกรอบ โรยเกลือนิดหน่อย แค่นี้ก็อร่อยเลิศ
 

ส่วนผสม เฟรนช์ฟรายส์มันม่วง

  • มันม่วงญี่ปุ่น
  • เกลือ
  • น้ำมันพืช
     

วิธีทำเฟรนช์ฟรายส์มันม่วง

     1. นำมันม่วงมาปอกเปลือกแล้วล้างน้ำให้สะอาด ล้างเอายางสีขาวบนเปลือกออกให้หมด จากนั้นนำไปหั่นเป็นเส้นพอดีคำ หรือจะฝานเป็นแว่นก็ได้ตามใจชอบ ปอกเปลือกออก ไม่ต้องเนี้ยบมากก็ได้ค่ะ เพราะถ้าผ่านความร้อนสามารถกินได้ทั้งเปลือก
หมายเหตุ : หากมันม่วงมีเศษดินเกาะติด ให้ใช้ฟองน้ำขัดออกได้ค่ะแล้วค่อยล้างด้วยน้ำสะอาด
     2. หั่นแบบพอดีคำ ไม่ควรตัดหนามากเพราะความร้อนจะเข้าไม่ถึงทำให้ไม่กรอบได้
     3. นำมันม่วงที่หั่นไว้ไปทอดในน้ำมันร้อนครั้งที่ 1 (ที่ความร้อนประมาณ 1,300-1,600 วัตต์) ประมาณ 1 นาที แล้วตักมันม่วงมาสะเด็ดน้ำมันออก หรือใช้กระดาษซับน้ำมัน แล้วพักทิ้งไว้ให้มันม่วงแห้ง หรือจะแช่ช่องฟรีซประมาณ 1 ชั่วโมง
หมายเหตุ : ในสูตรใช้วิธีแช่ฟรีซเพราะช่วยให้น้ำมันระเหยเร็ว และทำให้มันม่วงแข็งตัวง่ายต่อการมาคลุกเกลือแล้วนำไปทอดครั้งที่ 2
     4. นำมันม่วงที่แห้งจากน้ำมันแล้วมาคลุกกับเกลือเล็กน้อย จากนั้นนำไปทอดครั้งที่ 2 (ที่ความร้อนประมาณ 1,600 วัตต์) ประมาณ 2-3 นาที นำเฟรนช์ฟรายส์มันม่วงพักสะเด็ดน้ำมัน ทิ้งไว้สักครู่ก็จะได้เฟรนช์ฟรายส์มันม่วงที่กรอบหอมอร่อย จะจิ้มกับซอสพริก ซอสมะเขือเทศ หรือจะกินเพียว ๆ ก็อร่อยได้ทั้งสองแบบ
 

เคล็ดลับ :

  • ควรเลือกมันม่วงที่ไม่มีรูเจาะจากแมลง เพราะแมลงบางชนิดจะทิ้งกลิ่นไว้ในหัวมัน
  • สูตรนี้สามารถใช้ได้ทั้งมันม่วงญี่ปุ่นและมันญี่ปุ่นสีทอง
  • มันม่วงค่อนข้างไวต่อความร้อนมากกว่ามันฝรั่ง สังเกตการทอดครั้งแรกไม่ควรใช้เวลานานเพราะมันม่วงจะเละและจะไม่สามารถนำไปทำเฟรนช์ฟรายส์ได้
  • ปัจจุบันมันม่วงญี่ปุ่นมีราคาถูกลงเพราะเกษตรกรบ้านเรานำสายพันธุ์มาปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ ผลผลิตมันม่วงเลยมีขายเต็มตามท้องตลาด ประโยชน์ของมันม่วงนั้นมีมากมาย นอกจากอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นแล้ว มันม่วงยังช่วยให้อยู่ท้องได้นานเหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดความอ้วนด้วยนะ

 

ดูวิธีทำ มันม่วงทอดกรอบ เพิ่มเติมคลิก

3. เมี่ยงกลีบบัว (เมี่ยงคำกลีบบัว)

          ชวนสืบสานเมนูของกินเล่นโบราณกับเมี่ยงคำกลีบบัว โดยใช้กลีบบัวหลวงล้างสะอาดห่อเครื่องเมี่ยงและราดน้ำจิ้มเมี่ยง ใครไม่เคยลองอยากให้ชิมกันนะคะ
 

ส่วนผสม เมี่ยงคำกลีบบัว

  • กลีบบัวหลวง
  • ขิง
  • หอมแดง
  • มะนาวหั่นชิ้นเล็ก
  • ถั่วลิสงคั่ว
  • กุ้งแห้ง
  • พริกขี้หนูสวน
  • น้ำจิ้มเมี่ยงคำ
     

ส่วนผสม น้ำจิ้มเมี่ยงคำ

  • น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 1 ถ้วย (ไม่ใส่ก็ได้)
  • น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำสะอาด 1/2 ถ้วย
  • กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
  • รากผักชี 1 ช้อนชา
  • ข่าคั่วโขลก 1 ช้อนชา
     

วิธีทำน้ำจิ้มเมี่ยงคำ

     ► เอาส่วนผสมทั้งหมดใส่ในหม้อ แล้วเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนเข้มข้น
 

เคล็ดลับ : วิธีการเคี่ยวน้ำตาลปี๊บให้เข้มข้นแบบไม่เปลืองแก๊ส คือให้เปิดไฟแรง ๆ แล้วใช้ทัพพีคนน้ำตาลให้เดือดขึ้น ๆ ลง ๆ แบบเร่งไฟ-ลดไฟไปเรื่อย ๆ แป๊บเดียวก็ได้น้ำตาลปี๊บแบบเหนียวเข้มข้นโดยไม่ต้องเคี่ยวนานเป็นชั่วโมง และที่สำคัญไม่เปลืองแก๊สด้วย
 

วิธีทำเมี่ยงคำกลีบบัว

     1. เตรียมเครื่องเคียงให้พร้อม ได้แก่ ขิง หอมแดง มะนาว ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง และพริกขี้หนูสวน ส่วนผักสดที่รับประทานกับเมี่ยงคำโดยทั่วไป ใบชะพลู ใบทองหลาง ใบคะน้า
     2. นำกลีบบัวหลวงไปล้างทำความสะอาด โดยเอาน้ำสะอาดใส่กะละมัง ใส่เกลือป่นไปสัก 1 ช้อนชา แล้วล้างทีละกลีบ ล้างเสร็จแล้วสะบัดน้ำออกให้หมด หรือใส่กระชอนแล้วแกว่ง ๆ ให้สะเด็ดน้ำ
     3. หั่นเครื่องเคียงให้เรียบร้อย จัดน้ำจิ้มเมี่ยงคำใส่ถ้วยแก้ว และจัดวางเมี่ยงกลีบบัวบนช้อนกระเบื้อง

 

ดูวิธีทำ เมี่ยงกลีบบัว เพิ่มเติมคลิก

4. กระทงทอง

          มาต่อกันที่อีกสูตรของกินเล่นโบราณนั่นคือ เมนูกระทงทอง ขนาดพอดีคำ มาพร้อมวิธีทำแป้งกระทงและไส้หมูสับ ขั้นตอนการทำต้องมีความประณีตบวกกับความใจเย็น แต่เชื่อว่าถ้าทำเสร็จจะต้องภูมิใจแน่นอนค่ะ
 

ส่วนผสม กระทงทอง

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 65 กรัม
  • แป้งข้าวเจ้า 75 กรัม
  • เกลือป่นเล็กน้อย
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
  • ไข่แดง 1 ฟอง
  • น้ำปูนใส 85 มิลลิลิตร
  • น้ำเปล่า 85 มิลลิลิตร
     

ส่วนผสม ไส้ขนมกระทงทอง

  • หอมแดงสับ
  • น้ำมันพืชเล็กน้อย
  • หมูสับ
  • ข้าวโพดต้ม ฝานเป็นเม็ด
  • มะพร้าวขาวขูด (ที่ยังไม่ได้คั้น) 2 ทัพพี
  • น้ำตาลปี๊บ
  • น้ำปลา
  • น้ำตาลทราย
  • สับปะรดสับ
  • พริกชี้ฟ้าแดงซอย
  • ผักชี
  • พิมพ์สำหรับทำกระทงทอง
     

วิธีทำกระทงทอง

     1. ทำน้ำปูนใสโดยเติมน้ำลงไปในปูนแดงสำหรับเคี้ยวหมาก คนให้ขุ่น ๆ แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้ตกตะกอน จากนั้นช้อนเอาแต่น้ำด้านบนมากรองอีกรอบ เตรียมไว้
     2. ใส่แป้งสาลีอเนกประสงค์ แป้งข้าวเจ้า เกลือเล็กน้อย น้ำตาลทราย และไข่แดงลงในอ่างผสม
     3. ผสมน้ำเปล่ากับน้ำปูนใสเข้าด้วยกัน จากนั้นค่อย ๆ เทลงในส่วนผสมแป้ง คนผสมให้เข้ากันจนแป้งเนียนและเหนียว พักไว้ (**ห้ามเหลวนะ หากยังไม่เหนียวให้เพิ่มแป้งข้าวเจ้าลงไปอีกเล็กน้อยได้ ให้ความข้นลักษณะคล้ายกาวลาเท็กซ์เลย**)
     4. ผัดหอมแดงสับกับน้ำมันพืชเล็กน้อยพอหอม ใส่หมูสับลงผัด ตามด้วยข้าวโพด และมะพร้าวขูด ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ (ใส่ลงไปประมาณค่อนทัพพี) น้ำปลา และพริกไทยเล็กน้อย ผัดให้เข้ากัน (**ไม่ควรใช้ซีอิ๊วขาวหรือซอสถั่วเหลือง** เพราะอยากได้กลิ่นแบบไทย ๆ) ใส่สับปะรดสับลงไปผัด (สับปะรดควรหาเอาแบบเปรี้ยว ๆ ก็จะดี) ผัดจนแห้ง ตักใส่ภาชนะแล้วนำไปแช่ตู้เย็นสักครู่
     5. ใส่น้ำมันลงในหม้อหรือกระทะสำหรับทอด จากนั้นนำพิมพ์ขนมใส่ลงไปอุ่นในน้ำมันพืชสักพัก เมื่อน้ำมันร้อนได้ที่ ให้นำพิมพ์ขนมขึ้นมาซับน้ำมันบนกระดาษทิชชู
     6. จุ่มก้นพิมพ์ขนม (ที่ซับน้ำมันออกแล้ว) ลงในส่วนผสมแป้งจนเกือบมิดพิมพ์ (**ต้องดูด้วยว่าแป้งติดก้นพิมพ์ไหม หากไม่ติดหรือติดมาน้อยแสดงว่าแป้งยังไม่เหนียวพอ ให้เพิ่มแป้งข้าวเจ้าอีกจนส่วนผสมข้นเหนียวและติดพิมพ์) จากนั้นรีบจุ่มพิมพ์ลงน้ำมันทันที (เพราะหากชักช้าแป้งก็จะหลุดลงไปเรื่อย ๆ ทำให้ไม่เป็นรูปทรงกระทง)
     7. ทอดจนแป้งเหลืองสวย ยกขึ้นจากน้ำมัน แกะออกจากพิมพ์ (หากมันแซะออกจากพิมพ์ยาก ลองใช้ไม้จิ้มฟันเข้าช่วยแซะก็จะหลุดออก) ซับน้ำมัน พักทิ้งไว้ให้เย็น (**แป้งสูตรนี้ใช้แป้งข้าวเจ้าเยอะก็เลยกรอบทนกรอบนาน**)
     8. ตักไส้ใส่กระทง โรยพริกชี้ฟ้าแดง สับปะรดเปรี้ยว และผักชี พร้อมเสิร์ฟ

 

ดูวิธีทำ กระทงทอง เพิ่มเติมคลิก

5. เผือกหิมะ

          กินเผือกติดฟันก็ยอม เพราะเมนูเผือกหิมะอร่อยเว่อร์ หั่นเผือกเป็นแท่งเคลือบเกล็ดน้ำตาล เคล้ากับต้นหอมซอยจนทั่ว กินตอนอุ่น ๆ หรือกินตอนเย็นแล้วก็อร่อยจ้า
 

ส่วนผสม เผือกหิมะ

  • เผือก 3 หัว (3 กิโลกรัม)
  • น้ำมันสำหรับทอด 1 ขวด
  • น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
  • น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย
  • ต้นหอมซอย 3 ต้น (เอาเฉพาะใบเขียว)
     

วิธีทำเผือกหิมะ

     1. ปอกเปลือกเผือกออกให้หมด นำไปล้างน้ำสะอาด จากนั้นนำไปหั่นเป็นแท่ง
เคล็ดลับ : หั่นให้เป็นแท่งเหมือนเฟรนช์ฟรายส์ แต่ให้แท่งใหญ่กว่านิดหนึ่ง เพื่อความอร่อยในการเคี้ยว
     2. ใส่น้ำมันลงในกระทะ (กะปริมาณน้ำมันให้ท่วมเผือกพอดีจะได้สุขทั่วทุกชิ้น) นำขึ้นตั้งไฟอ่อน ทอดจนสุกเหลือง ตักขึ้นใส่ตะแกรงเพื่อสะเด็ดน้ำมัน
     3. เทน้ำเปล่าลงในกระทะ ใส่น้ำตาลทรายลงไป ใช้ไฟอ่อน ๆ คนไปเรื่อย ๆ จนน้ำตาลละลายและเริ่มเห็นเป็นเกล็ดขาว ๆ รอบ ๆ กระทะ
     4. พอน้ำตาลเป็นเกล็ดขาว ๆ แล้วเทเผือกที่ทอดไว้ลงไป คลุกให้เข้ากันสัก 1 นาทีแล้วปิดไฟ จากนั้นใส่ต้นหอมแล้วคลุกเผือกต่อไปเรื่อย ๆ อย่างเบามือ จนน้ำตาลที่เกาะบนเผือกเปลี่ยนเป็นสีขาว ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

 

ดูวิธีทำ เผือกหิมะ เพิ่มเติมคลิก

6. กล้วยอบกรอบ

กล้วยอบกรอบ

          ของกินเล่นขายดีอย่างเมนูกล้วยอบกรอบ แม้จะมีขายแต่มั่นใจได้อย่างไรว่ากรอบอร่อย ลองมาทำกินเองดีไหม สูตรนี้ใช้กล้วยหอมดิบ ทอดกับน้ำมันจนกรอบ สุดท้ายรอจนเย็นแล้วจัดเก็บใส่ภาชนะ
 

ส่วนผสม กล้วยอบกรอบ

  • กล้วยหอมดิบ 1 หวี
  • เกลือป่น 3/4 ช้อนชา
  • น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันพืช (สำหรับทอด)
     

วิธีทำกล้วยอบกรอบ

     1. ปอกเปลือกกล้วยแล้วหั่นเป็นแว่นหนาประมาณ 1 มิลลิเมตร เตรียมไว้
     2. ผสมเกลือกับน้ำ คนผสมจนเกลือละลายเป็นน้ำเกลือ เตรียมไว้
     3. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันลงไปกะพอท่วมกล้วย พอร้อนแบ่งกล้วยลงไปทอด พอกล้วยเริ่มลอยขึ้นมา ใส่น้ำเกลือลงไปประมาณ 1 ช้อนชา ทอดจนสุกเหลืองกรอบ ตักขึ้นพักไว้สะเด็ดน้ำมัน ทอดจนกว่ากล้วยจะหมด พอเย็นลงแล้วก็จัดเสิร์ฟ หรือเก็บใส่ภาชนะ

 

ดูวิธีทำ กล้วยอบกรอบ เพิ่มเติมคลิก

7. กล้วยฉาบ

กล้วยฉาบ

          กล้วยน้ำว้าดิบราคาถูกมาก ๆ เลยซื้อมาทำเมนูกล้วยฉาบกินพอคลายหิว สูตรนี้ทอดกล้วยจนสุกกรอบแล้วเคล้ากับน้ำตาลผสมละลาย บอกเลยว่าอร่อยมากมายจ้า
 

ส่วนผสม กล้วยฉาบ

  • กล้วยน้ำว้าดิบ 1 หวี
  • น้ำปูนใส (สำหรับแช่กล้วย)
  • น้ำมันพืช (สำหรับทอด)
  • น้ำเปล่า 5 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
  • เนยสดเค็ม 1 ช้อนโต๊ะ
     

วิธีทำกล้วยฉาบ

     1. ปอกเปลือกกล้วยแล้วฝานตามความยาว นำไปแช่น้ำปูนใส ประมาณ 15 นาที เพื่อให้ยางกล้วยออกมา
     2. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันพืชลงไปกะพอให้ท่วมกล้วย ใส่กล้วยลงไปทอดจนสุกเหลืองกรอบ ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมันและพักบนตะแกรง
     3. ใส่น้ำกับน้ำตาลทรายลงในกระทะ เคี่ยวจนน้ำตาลละลายและเหนียวข้น ใส่เนยเค็มลงไป คนให้เข้ากัน ปรับไฟให้อ่อนสุด เทกล้วยทอดกรอบลงไป คลุกจนเข้ากัน ปิดไฟ พักไว้จนเย็น นำใส่ภาชนะปิดอย่าให้อากาศเข้า

 

ดูวิธีทำ กล้วยฉาบ เพิ่มเติมคลิก

8. กล้วยฉาบเคลือบคาราเมล

          ใครมีกล้วยน้ำว้าดิบเยอะแยะ ปล่อยไว้ให้สุกคงกินไม่ทัน ลองมาทำเมนูกล้วยฉาบเคลือบคาราเมล อีกสูตรของกินเล่นเก็บได้นานดีไหม จุดเด่นคือจับกล้วยม้วนเป็นแท่งแล้วเคลือบซอสคาราเมล เพิ่มความกรุบจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์
 

ส่วนผสม กล้วยฉาบเคลือบคาราเมล

  • กล้วยน้ำว้าดิบ 24 ลูก
  • น้ำเย็นผสมน้ำมะนาวเล็กน้อย (สำหรับแช่กล้วย)
  • น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี 80 กรัม
  • แบะแซ 2 ช้อนชา
  • วิปครีมชนิดจืด 50 กรัม
  • เนยสดชนิดเค็ม 30 กรัม
  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบสุก 200 กรัม
  • น้ำมันพืช (สำหรับทอด)
     

วิธีทำกล้วยฉาบเคลือบคาราเมล

     1. นำกล้วยน้ำว้ามาปอกเปลือก แล้วแช่ลงในน้ำเย็นผสมน้ำมะนาว (เพื่อไม่ให้กล้วยเปลี่ยนสี) พักไว้
     2. ฝานกล้วยเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วม้วนให้เป็นแท่งกลม วางเรียงใส่ถาด พักไว้ให้กล้วยหมาด ๆ
     3. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอร้อน ใส่กล้วยลงทอดจนเหลืองกรอบ ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วนำกล้วยที่ทอดชั่ง 300 กรัม
     4. ใส่น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี แบะแซ วิปครีม และเนยสดลงในภาชนะ ยกขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวจนส่วนผสมมีลักษณะข้น
     5. ใส่กล้วยทอดกับเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงไป คลุกเคล้าเบา ๆ จนเข้ากันดี ยกลง พักไว้ให้เย็นสนิท บรรจุใส่ภาชนะ

 

ดูวิธีทำ กล้วยฉาบเคลือบคาราเมล เพิ่มเติมคลิก

9. กล้วยตาก

กล้วยตาก

          ใครชอบกินกล้วยตากเป็นทุนเดิมอยากให้ลองมาทำกินเองสักครั้ง สูตรนี้ไม่มีกรรมวิธีซับซ้อน แค่ใช้เวลาตากกล้วยนานหลายวันเท่านั้นเอง ไม่มีการปรุงแต่งรสหวานเพิ่มเติม ยิ่งแช่เย็นยิ่งอร่อยจ้า
 

ส่วนผสม กล้วยตาก

  • กล้วยน้ำว้าแก่
  • เกลือป่น
  • น้ำ

วิธีทำกล้วยตาก

     1. ตัดกล้วยออกเป็นหวี นำวางลงบนใบตอง ปิดทับด้วยใบตองและกระสอบ หรือนำใส่โอ่ง หรือถัง จากนั้นบ่มทิ้งไว้จนกล้วยสุกดี (บ่มจนผลกลมมน ไม่มีรอยเหลี่ยม และเปลือกตกกระสีดำ)
     2. ปอกเปลือกกล้วยออก เรียงลงบนตะแกรง นำไปตากแดดจนกล้วยเกือบแห้งสนิท นานประมาณ 5 วัน และหมั่นคอยพลิกกลับด้านอยู่เสมอ
     3. ก่อนนำกล้วยไปตากแดดในวันที่ 6 ให้ละลายน้ำกับเกลือให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟต้มจนเดือด ทิ้งไว้จนเย็น จากนั้นใช้ขวดน้ำคลึงหรือกดกล้วยให้แบน แล้วนำกล้วยลงไปล้างในน้ำเกลือที่เตรียมไว้ จากนั้นนำกล้วยวางเรียงบนตะแกรง นำไปตากแดดอีก 1-2 วัน จนกล้วยแห้งได้ที่
     4. เมื่อกล้วยแห้งได้ที่แล้วใส่กล้วยลงในหม้อ ปิดฝาให้สนิท วางทิ้งไว้ 1 คืน เพื่อให้น้ำตาลจากกล้วยซึมออกมา (กล้วยจะเงาและไม่แห้ง) จากนั้นเก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด พร้อมเสิร์ฟ
 

เทคนิคการทำกล้วยตากให้อร่อย

  • กล้วยที่นำมาทำกล้วยตากให้ได้สีสวยนั้น ถ้าเป็นกล้วยที่สุกงอมจากต้นจะได้กล้วยตากที่สีไม่สวย ต้องนำมาบ่มก่อน สีกล้วยตากที่ได้จะสวยกว่า บ่มจนผลกล้วยไม่มีรอยเหลี่ยม เปลือกตกกระเป็นสีดำ
  • การเก็บกล้วยตากในขณะที่ยังไม่แห้งดีเพื่อรอตากในวันต่อ ๆ ไป ให้เก็บใส่ถุงพลาสติก ปิดให้แน่น ป้องกันไม่ให้กล้วยดำ ป้องกันแมลง และเพื่อความสะอาด

 

ดูวิธีทำ กล้วยตาก เพิ่มเติมคลิก

10. ถั่วกรอบแก้ว

           เติมโปรตีนจากถั่วกรอบแก้วกันเถอะ สูตรนี้ใส่ผงโกโก้เพิ่มความหอม เติมน้ำตาลทรายและใส่งาแบบจัดเต็ม พักไว้จนเย็นแล้วค่อยกินจะกรอบมากเลยค่ะ
 

ส่วนผสม ถั่วกรอบแก้ว

  • ถั่วลิสงดิบ 3 + 1/2 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย 2+1/2 ถ้วยตวง
  • ผงโกโก้ 2-3 ช้อนโต๊ะ (หรือผงโอวัลติน)
  • ผงกาแฟเล็กน้อย (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
  • น้ำเปล่า 1+1/2 ถ้วยตวง
  • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
  • งาขาวคั่ว 1/4 ถ้วยตวง
     

วิธีทำถั่วกรอบแก้ว

     1. ล้างถั่วลิสงในน้ำสะอาด ใช้มือคนไป-มาแล้วคัดถั่วเม็ดที่เสียออกไป เทใส่ตะแกรงพักให้สะเด็ดน้ำ
     2. ตั้งกระทะโดยยังไม่ต้องเปิดไฟ ใส่น้ำตาลทรายลงไป ตามด้วยผงโกโก้ คนให้เข้ากัน ใส่น้ำเปล่าลงไปคนให้เข้ากันจนน้ำตาลทรายละลาย
     3. พอน้ำตาลทรายละลาย ใส่ถั่วลิสงลงไปคนให้เข้ากัน เปิดไฟกลาง คนไปคนมาระยะหนึ่งจนน้ำเชื่อมเดือดพล่าน คนไม่ต้องบ่อยมาก
     4. พอน้ำเชื่อมเริ่มเหนียวข้นเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มให้คนบ่อยขึ้น คนไปเรื่อย ๆ พอน้ำเชื่อมงวดและเหนียวมากขึ้นให้ปรับเป็นไฟอ่อน คนต่อไปเรื่อย ๆ อีกประมาณ 2-3 นาที สังเกตเห็นว่าน้ำเชื่อมแห้ง น้ำตาลตกทราย ปิดไฟ
     5. โรยเกลือป่น เปิดไฟเป็นไฟอ่อน คนไปเรื่อย ๆ จนถั่วทุกเม็ดเริ่มเปียกและมีน้ำตาลเยิ้มออกมา โรยงาขาวคั่ว คนไปเรื่อย ๆ จนงาเคลือบทั่วตัวถั่ว ปิดไฟ
     6. เทถั่วกรอบแก้วลงในถาดที่รองด้วยกระดาษรองอบ รองด้วยแผ่นซิลิโคน หรือถาดทาน้ำมัน รีบใช้ไม้พายเกลี่ยถั่วให้กระจายออกจากกัน หรือใช้ช้อนช่วยแยกให้ถั่วกระจายตัวก่อนถั่วจะแข็งตัวติดกันเป็นก้อน เริ่มแรกถั่วจะยังไม่กรอบ แต่พอเย็นตัวจะกรอบขึ้น พักทิ้งไว้จนเย็นสนิท เก็บใส่ขวดโหลได้นานเป็นเดือน เหมาะให้คนอื่นหรือเป็นของว่างในบ้าน

 

ดูวิธีทำ ถั่วกรอบแก้ว เพิ่มเติมคลิก

11. ปั้นขลิบไส้หมูหย็อง

ปั้นขลิบไส้หมูหย็อง

          ขนมปั้นขลิบที่ขายทั่วไป ถ้าไม่ใช่ขนมปั้นขลิบไส้ไก่ก็เป็นปั้นขลิบไส้ปลา ถ้าทำกินเองลองเปลี่ยนมาทำปั้นขลิบไส้หมูหย็องกันเถอะ สูตรไส้หมูหย็องเพิ่มน้ำพริกเผาตัดเลี่ยน พอทอดจนสุกกรอบก็หม่ำกันเลยจ้า
 

ส่วนผสม แป้งปั้นขลิบ

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 230 กรัม
  • แป้งข้าวเจ้า 20 กรัม
  • แป้งมัน 30 กรัม
  • ไข่ไก่ 25 กรัม หรือ 1/2 ฟอง
  • น้ำปูนใส 80 มิลลิลิตร
  • น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
  • หัวกะทิ 80 กรัม
  • น้ำมันพืช
     

ส่วนผสม ไส้หมูหย็อง

  • หมูหย็อง 200 กรัม
  • น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ
     

วิธีทำขนมปั้นขลิบไส้หมูหย็อง

     1. ทำไส้หมูหย็อง โดยนำหมูหย็องมายีให้ละเอียด ใส่น้ำพริกเผากับน้ำตาลทรายลงไปคลุกจนเข้ากันดี พักไว้
     2. ทำแป้งปั้นขลิบ โดยนำแป้งสาลีและแป้งข้าวเจ้ามาร่อนเข้าด้วยกัน ใส่ไข่ไก่ น้ำปูนใส น้ำตาลทราย หัวกะทิ และน้ำมันพืชลงไป นวดให้เข้ากัน พักแป้งไว้ ประมาณ 1 ชั่วโมง
     3. พอครบเวลาแบ่งแป้งก้อนกลมเล็ก แผ่แป้งให้บาง วางไส้ตรงกลาง บีบริมแป้งให้สนิท ขลิบริมแป้งให้สวยงาม
     4. ตั้งกระทะใช้ไฟร้อนปานกลาง ใส่น้ำมันลงไปรอจนน้ำมันร้อน ใส่ปั้นขลิบลงไปทอดจนสุกเหลือง นำขึ้นมาสะเด็ดน้ำมัน จัดเสิร์ฟ

 

ดูวิธีทำ ปั้นขลิบไส้หมูหย็อง เพิ่มเติมคลิก

12. ปั้นขลิบไส้หมู

          ปั้นขลิบไส้ไก่ทำบ่อยจนเซ็ง คราวนี้ขอเปลี่ยนมาทำปั้นขลิบไส้หมูหน่อยดีกว่า สูตรนี้ไส้ใส่หอมแดงและพริกไทย เพิ่มถั่วคั่วกับไชโป๊
 

ส่วนผสม แป้งปั้นขลิบ

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 230 กรัม
  • แป้งข้าวเจ้า 20 กรัม
  • แป้งมัน 30 กรัม
  • น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/2 ช้อนชา
  • น้ำปูนใส 80 มิลลิลิตร
  • กะทิ 80 กรัม
  • ไข่ไก่ 25 กรัม หรือ 1/2 ฟอง
  • เนยหรือเนยขาว 2 ช้อนโต๊ะ
     

ส่วนผสม ไส้หมู

  • รากผักชี
  • พริกไทยเม็ด
  • น้ำมันพืช
  • หอมแดง
  • หมูสับ
  • ไชโป๊สับ 300 กรัม (ในสูตรนำไปล้างหลาย ๆ น้ำจนไม่เค็ม หรือเค็มน้อยที่สุด)
  • ถั่วลิสงคั่วป่น 350 กรัม
  • น้ำตาลทราย 300 กรัม (ใส่มากกว่านี้ก็ได้)
  • เกลือ 1+1/2 ช้อนกินข้าว
     

วิธีทำปั้นขลิบ

     1. ทำไส้หมู โดยโขลกรากผักชีกับเม็ดพริกไทย เสร็จแล้วเอาไปผัดในน้ำมัน ใส่หอมแดงสับ หมูสับ ไชโป๊สับ และถั่วลิสงคั่วป่น ผัดให้เข้ากัน
     2. ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายกับเกลือ ผัดจนส่วนผสมแห้ง ตักใส่ภาชนะ
     3. ทำแป้ง โดยใส่น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำปูนใส ตามด้วยกะทิ คนผสมให้เข้ากัน ใส่ไข่ไก่ คนผสมให้เข้ากันอีกครั้ง
     4. ผสมแป้งสาลีอเนกประสงค์ แป้งข้าวเจ้า และแป้งมันในอ่างผสม เทส่วนผสมของเหลวลงไป นวดแป้งจนเข้ากันดีแล้วก็ใส่เนยลงไปพักแป้งไว้สัก 15-20 นาที ก่อนเอามารีดจะช่วยให้รีดจับจีบง่ายขึ้น
     5. แบ่งแป้งออกมาปั้นเป็นก้อนเล็กกลม ใช้ไม้นวดแป้งรีดแป้งให้เป็นแผ่นกลมแบนและบาง ใส่ไส้พอประมาณลงไปตรงกลางแผ่นแป้ง พับขอบแป้งให้ปลายติดกันทั้งสองข้าง ใช้นิ้วค่อย ๆ บีบปลายแผ่นแป้งประกบ จับจีบให้สวยงาม
     6. ตั้งกระทะใส่น้ำมันลงไปใช้ไฟกลางค่อนไปทางอ่อน ใส่ปั้นขลิบลงไปทอด คนตลอดเป็นระยะ ๆ ระวังไหม้

 

ดูวิธีทำ ปั้นสิบไส้หมู เพิ่มเติมคลิก

13. หมี่กรอบ

          วันหยุดพอมีเวลาอยากชวนมาย้อนวัยทำเมนูหมี่กรอบโบราณ สูตรนี้เครื่องแน่นมีทั้งไข่ฝอย เต้าหู้ทอด หอมแดงทอดกรอบ และกุ้งผัด ที่ขาดไม่ได้เลยคือหมี่กรอบคลุกซอสมะขามเปียก
 

ส่วนผสม หมี่กรอบ

  • ไข่ไก่
  • เต้าหู้เหลือง
  • เส้นหมี่
  • พริกป่น 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันสำหรับทอด
  • กุ้ง (ปอกเปลือก)
  • กระเทียม
     

ส่วนผสม ซอสหมี่กรอบ

  • น้ำกระเทียมดอง 1/4 ถ้วย
  • น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะขามเปียกคั้นเข้มข้น 1/2 ถ้วย
  • เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 6 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสมะเขือเทศ 1/4 ถ้วย
  • กระเทียมดองสับละเอียด 1หัว
  • เต้าเจี้ยวบด 2 ช้อนโต๊ะ
  • พริกป่น 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
  • หอมแดงทอดกรอบ
  • ถั่วงอกดิบ
  • ใบกุยช่าย
     

วิธีทำหมี่กรอบ

     1. เริ่มจากทอดไข่ฝอย โดยตีไข่ไก่พอแตก จากนั้นเทผ่านตะแกรงลงในน้ำมันร้อน ๆ จากนั้นตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน เตรียมไว้ (หากอยากให้กรอบขึ้นไปอีก เวลาตีไข่ให้ใส่แป้งมันหรือแป้งข้าวโพดลงไปเล็กน้อย)
     2. หั่นเต้าหู้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปผึ่งลมให้แห้งเล็กน้อย (หากหาเต้าหู้เหลืองไม่ได้ก็ใช้แบบขาวก็ได้) จากนั้นนำไปทอดจนเหลืองกรอบ ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน เตรียมไว้
     3. แยกเส้นหมี่แห้งออกจากกัน เตรียมไว้ (เคล็ดลับคือ นำเส้นหมี่จุ่มลงในน้ำแล้วรีบยกขึ้นทันที (ไม่ต้องแช่) พักให้สะเด็ดน้ำ เส้นหมี่ก็จะคลายตัวแยกออกจากกัน)
     4. ใส่พริกป่นลงไปในน้ำมันที่จะทอดเส้นหมี่ (เพื่อเส้นหมี่จะได้รสเผ็ดติดลิ้นนิด ๆ)
     5. ใส่เส้นหมี่ลงทอดจนเป็นสีเหลืองทอง ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน เตรียมไว้
     6. สับกุ้งให้พอหยาบ จากนั้นนำไปผัดกับกระเทียมจนสุก ตักใส่จานเตรียมไว้สำหรับโรยหน้า
     7. ผสมน้ำกระเทียมดอง น้ำส้มสายชู น้ำมะขามเปียก เกลือ น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย ซอสมะเขือเทศ และกระเทียมดองสับละเอียดเข้าด้วยกัน
     8. เทน้ำซอสลงเคี่ยวในกระทะ ตามด้วยเต้าเจี้ยวบด พริกป่น และน้ำมะนาว (หาน้ำส้มซ่าไม่ได้เลยไม่ใส่) เคี่ยวจนเหนียวพอประมาณ
     9. ตักส่วนผสมซอสลงในอ่างผสมแล้วแบ่งเส้นหมี่ใส่ลงไปคลุกให้เข้ากัน (ไม่อยากคลุกหมี่ทั้งหมดทีเดียว ส่วนน้ำซอสเหลือก็สามารถเก็บใส่ตู้เย็นไว้ทำครั้งต่อไปได้อีก)
     10. ตักใส่จานโรยด้วยไข่ฝอย เต้าหู้กรอบ หอมแดงทอดกรอบ และกุ้งผัด เสิร์ฟพร้อมกับถั่วงอก และใบกุยช่าย

 

ดูวิธีทำ หมี่กรอบ เพิ่มเติมคลิก

          จู่ ๆ ก็นึกอยากทำเมนูของกินเล่นแบบไทย ๆ ขึ้นมา โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าอบกับกล้วยตากเพื่อสุขภาพ ก่อนกลับบ้านเย็นนี้คงต้องแวะไปซื้อกล้วยมาเตรียมพร้อมสำหรับวันหยุดพรุ่งนี้ และที่สำคัญต้องเคลียร์พุงให้ว่างจะได้หม่ำได้อย่างเต็มที่ ฮา ๆ
 

สนใจให้ Kapook.com แนะนำการทำอาหารด้วยเครื่องปรุง ของใช้ในครัว หรืออื่น ๆ รับทำการตลาดด้วย Social Network, Content Marketing

คลิกเลย

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
13 ของกินเล่นแบบไทย ๆ อาหารว่างอร่อยทำง่าย เอาใจคนชอบเคี้ยว อัปเดตล่าสุด 30 มกราคม 2562 เวลา 16:39:19 39,663 อ่าน
TOP