-
แป้งสาลีอเนกประสงค์ มาจากข้าวสาลีชนิดหนักและชนิดเบาผสมกัน สามารถเอามาทำทั้งขนมกับอาหารได้หลายแนวตามชื่อ ทั้งแนวเบเกอรี่ ขนมไทย และอาหารคาว
-
แป้งมัน ถ้าทำให้สุกจะมีความเหนียวใส มักใช้กับอาหารหรือขนมที่ต้องการความเหนียว เช่น รวมมิตร เต้าส่วน หรือใช้ผสมกับแป้งสาลีเพื่อให้มีความกรอบนุ่ม เช่น หอยทอด กุยช่ายทอด
-
แป้งเท้ายายม่อม จะมีลักษณะข้นหนืดเหมือนแป้งมัน แต่ราคาแพงกว่า เอามาทำขนมไทยแทนแป้งมันได้ ถ้าเป็นแป้งข้าวเจ้าเหมาะทำขนมไทยที่ต้องการความอยู่ตัวและมีความมันวาว เช่น ขนมกล้วย ขนมฟักทอง ลอดช่อง รวมทั้งอาหาร เช่น กุยช่าย ข้าวเกรียบปากหม้อ
-
แป้งข้าวโพด ปกติจะใส่ในอาหารประเภทน้ำแดง ซอสต่าง ๆ หรือไส้ขนมที่ต้องการความข้นเหลว รวมทั้งขนมไทยที่ต้องการความข้นหนืด
1. ขนมดอกจอก
ส่วนผสม ขนมดอกจอก
-
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 200 กรัม
-
แป้งข้าวเจ้า 150 กรัม
-
แป้งมันสำปะหลัง 50 กรัม
-
น้ำปูนใส 250 กรัม
-
ไข่ไก่ 2 ฟอง
-
เกลือ 1/2 ช้อนชา
-
น้ำตาลทราย 50 กรัม
-
หัวกะทิ 500 กรัม
-
งาดำ
-
พิมพ์ สำหรับทำขนมดอกจอก
วิธีทำขนมดอกจอก
-
นำแป้งสาลี แป้งข้าวเจ้า และแป้งมัน เทรวมกัน ตามด้วยน้ำปูนใส นวดไปเรื่อย ๆ ใส่ไข่ไก่นวดต่อไปเรื่อย ๆ
-
ใส่เกลือและน้ำตาลทราย นวดให้เข้ากัน เทกะทิแล้วนวดให้ส่วนผสมเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ใช้เวลานวดค่อนข้างนานกว่าส่วนผสมจะเข้ากันดี กรองด้วยกระชอนตาถี่ แป้งจะละเอียดเนียนสวย ใส่งาดำตามชอบ หรือจะใส่งาขาวด้วยก็ได้
วิธีทอดขนมดอกจอก
-
นำพิมพ์ไปแช่ทิ้งไว้ในน้ำมันที่ร้อนประมาณ 10 นาที
-
พอพิมพ์ร้อนได้ที่แล้วก็ซับด้วยน้ำมันก่อนที่จะไปชุบแป้ง จุ่มพิมพ์ลงไปในแป้ง แต่อย่าจุ่มจนมิด (เพราะถ้าจุ่มมิดแป้งจะติดพิมพ์ ไม่หลุด)
-
นำพิมพ์ชุบแป้งเสร็จแล้วลงไปทอดในน้ำมันที่ร้อน ใช้ไฟกลาง พอเอาพิมพ์จุ่มลงในน้ำมันแล้วค่อย ๆ เขย่าพิมพ์ แป้งก็จะหลุดออกจากพิมพ์ ทอดให้สุกเหลือง เอาขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน พอพักจนเย็นก็กินได้แล้ว
2. ขนมครกใบเตย
ส่วนผสม ขนมครกใบเตย (สำหรับ 18-20 ชิ้น)
-
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1/2 ถ้วย + 2 ช้อนโต๊ะ
-
แป้งมัน 1/4 ถ้วย
-
ผงฟู 1 ช้อนชา
-
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
-
น้ำตาลทราย 4 ช้อนโต๊ะ
-
ไข่ไก่ 1 ฟอง
-
น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น 1/3 ถ้วย
-
กะทิ 1/4 ถ้วย
-
น้ำมันพืช สำหรับทาพิมพ์
-
เตาขนมครกสิงคโปร์ (หรือใช้พิมพ์รูปอะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปดอกไม้)
-
ผ้า สำหรับชุบน้ำมันทาเตา
วิธีทำขนมครกใบเตย
-
ร่อนแป้งสาลีอเนกประสงค์ แป้งมัน และผงฟู เข้าด้วยกัน ใส่น้ำตาลทรายและเกลือลงไป คนผสมเข้าด้วยกัน
-
ใส่ไข่ไก่ลงไปตีผสมให้เข้ากัน
-
เทกะทิลงไปตีผสมให้เข้ากัน ตามด้วยน้ำใบเตย คนผสมให้เข้ากันอีกครั้งจนเป็นเนื้อเนียนละเอียด พักแป้งไว้ 10 นาที
-
นำเตาขนมครกวางบนเตาแก๊ส ใช้ไฟอ่อนที่สุด แล้วใช้ผ้าชุบน้ำมันทาเตาบาง ๆ จากนั้นตักแป้งหยอดลงในเตาไม่ต้องเต็ม (เพราะเดี๋ยวขนมจะฟูขึ้นมาเอง) ปิดฝา (เพื่อให้ขนมสุกเร็วขึ้น)
-
เมื่อขนมสุกแล้วใช้ไม้ปลายแหลมหรือไม้จิ้มฟันแซะขึ้นมาจากพิมพ์ จัดใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
3. ขนมรังผึ้ง
ส่วนผสม ขนมรังผึ้ง (ประมาณ 10 แผ่น)
-
ไข่ไก่ (เบอร์ 2) 4 ฟอง
-
น้ำตาลทราย 200 กรัม
-
น้ำตาลมะพร้าว 180 กรัม
-
เกลือ 1+1/2 ช้อนชา
-
กะทิ 580 กรัม
-
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 450 กรัม
-
น้ำเปล่า 200 กรัม
-
เนื้อมะพร้าวอ่อน 200 กรัม หรือใส่ตามชอบ
-
งาดำคั่ว 1 ช้อนชา
-
น้ำมัน สำหรับทาเตาทำขนมรังผึ้ง
-
เตาทำขนมรังผึ้ง
วิธีทำขนมรังผึ้ง
-
นำไข่ น้ำตาลทราย และน้ำตาลมะพร้าว ใส่ลงชามผสม ใช้ตะกร้อมือหรือตะกร้อไฟฟ้าตีไข่คนให้เข้ากันจนขึ้นฟู
-
เติมเกลือ คนให้เข้ากัน หลังจากนั้นเติมกะทิสลับกับแป้ง ตะล่อมจนกะทิและแป้งละลายเข้ากัน
-
เติมน้ำเปล่า คนให้เข้ากัน เติมเนื้อมะพร้าว ใส่งาดำ คนให้เข้ากัน
-
ตั้งเตาทำรังผึ้ง ทาด้วยน้ำมัน เมื่อเตาร้อนดีให้ใส่แป้งลงไป ปิดเตา รอจนสุก นำออกจากเตากินตอนร้อน ๆ นุ่ม หอม อร่อย หรือจะตั้งไว้ให้เย็นก็ยังนุ่ม
4. เกี๊ยวซ่า
ส่วนผสม แผ่นแป้งเกี๊ยวซ่า (ประมาณ 35 แผ่น)
-
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 240 กรัม
-
น้ำอุ่น 100-150 มิลลิลิตร
-
เกลือ 1/2 ช้อนชา
-
น้ำมันงา 1 ช้อนชา
ส่วนผสม ไส้เกี๊ยวซ่า
-
หมูสับติดมัน 300 กรัม
-
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
-
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
-
เกลือ 1/2 ช้อนชา
-
กระเทียมซอย
-
กระเทียมขูด
-
ขิงขูด
-
ใบกุยช่ายซอย
-
หอมใหญ่ซอย
-
กะหล่ำปลีซอย
-
แป้งมันสำปะหลัง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำเกี๊ยวซ่า
-
ทำแป้ง โดยใส่เกลือ น้ำมันงา และน้ำอุ่น ผสมกับแป้ง แนะนำว่าให้เริ่มใส่น้ำที่ 100 มิลลิลิตรก่อน แล้วถ้าแห้งไปให้ค่อย ๆ เติม จากนั้นนวดให้ทุกอย่างเข้ากัน
-
นวดต่อประมาณ 10 นาที จนแป้งเนียนนุ่ม พักแป้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง
-
ทำไส้ โดยใส่ทุกอย่างลงไปในหมูสับแล้วผสมให้เข้ากัน
-
เมื่อพักแป้งเสร็จแล้วให้แบ่งแป้งเป็น 2 ส่วน แล้วนวดให้เป็นเส้นยาว ๆ จากนั้นตัดเป็นท่อน ท่อนละเท่า ๆ กัน
-
ปั้นแป้งให้เป็นลูกกลม ๆ แล้วรีดให้เป็นแผ่น ความหนาของแผ่นแป้งประมาณ 1-2 มิลลิเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางของแผ่นแป้งประมาณ 3-3.5 นิ้ว จากนั้นใช้ที่ตัดคุกกี้หรือชามที่มีขนาดพอดีมาทำเป็นแม่พิมพ์
-
ทาน้ำตามขอบแป้ง ใส่ไส้เกี๊ยวซ่าที่เตรียมไว้แล้วห่อให้มิดชิด
-
ถ้าชอบเกี๊ยวซ่าแบบนิ่มให้ใส่น้ำมันประมาณ 1 ช้อนชาลงไปในกระทะ แล้วเรียงเกี๊ยวให้เรียบร้อย จากนั้นใส่น้ำให้ท่วมประมาณครึ่งหนึ่งของเกี๊ยวซ่า หาฝามาปิดแล้วต้มไปเรื่อย ๆ จนกว่าน้ำจะแห้งหมด เมื่อน้ำแห้งแล้วให้เร่งไฟแรงให้หน้าเกี๊ยวเกรียม ๆ สำหรับแผ่นแป้งที่เหลือ เวลาตัดแผ่นเกี๊ยวเสร็จแล้วอย่าทิ้ง สามารถนำมานวดให้เนียนใหม่แล้วทำเป็นแผ่นแป้งต่อไปได้ เวลานวดก็ใส่น้ำให้ความชื้นเข้าไปนิดหนึ่ง
5. เส้นพาสต้า
ส่วนผสม เส้นพาสต้า
-
แป้งสาลีอเนกประสงค์ร่อน 2-3/4 ถ้วยตวง หรือ 420 กรัม
-
ไข่ไก่ 3 ฟองใหญ่
-
เกลือ 1 ช้อนชา
-
น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำเปล่า 1/4 ถ้วยตวง
-
สีผสมอาหารตามชอบ หรือจะใช้สีจากธรรมชาติ เช่น แครอต ผักโขม หญ้าฝรั่น อัญชัน บีทรูต
วิธีทำเส้นพาสต้า
-
ตีไข่และเกลือให้เข้ากัน เทลงไปในแป้งอเนกประสงค์ เติมน้ำมันมะกอก นวดให้เข้ากัน เพิ่มน้ำเปล่าลงไปนวดให้เป็นเนื้อเดียวกัน ถ้ามีเครื่องปั่นใช้เครื่องปั่น หรือเครื่องนวดแป้งได้เลยจะสะดวกกว่า ตัดแบ่งเป็นก้อนเล็ก ๆ เพื่อให้ง่ายเมื่อต้องใช้ไม้นวดแป้ง
-
นำแป้งก้อนเล็ก ๆ มาผสมกับสีที่เตรียมไว้ ห่อด้วยผ้าหรือพลาสติก นำไปแช่ตู้เย็นนาน 30 นาที นำแป้งมานวดกับไม้นวดแป้งให้เป็นแผ่นบาง ๆ ม้วนหรือพับแผ่นแป้งแล้วใช้มีดตัดเป็นเส้นเล็กหรือเส้นใหญ่ตามชอบเลย
-
ต้มน้ำให้เดือดจัด ใส่เกลือเล็กน้อย ใส่เส้นพาสต้าลงไป ต้มนาน 3-4 นาที หรือชิมก่อนจะเทน้ำทิ้งว่าสุกหรือยัง หลังจากนั้นเอาไปทำอาหารได้เลย
6. โตเกียว
ส่วนผสม แป้งโตเกียว
-
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 65 กรัม
-
นมสด 50 กรัม
-
ผงฟู 1/4 ช้อนชา
-
เบกกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา
-
น้ำตาลทราย 45 กรัม
-
น้ำปูนใส 2 ช้อนโต๊ะ
-
เกลือ 1/8 ช้อนชา
-
ไข่ไก่ 1 ฟอง
ส่วนผสม โตเกียวไส้เค็ม
-
ไข่
-
ไส้กรอก
-
พริกไทยป่น
-
ซอสปรุงรส
วิธีทำแป้งโตเกียว
-
ร่อนแป้งอเนกประสงค์ ผงฟู เบกกิ้งโซดา และเกลือป่น เข้าด้วยกัน เตรียมไว้
-
ผสมนมกับน้ำปูนใสเข้าด้วยกัน เตรียมไว้
-
ตีไข่กับน้ำตาลทรายจนน้ำตาลทรายละลาย จากนั้นใส่ส่วนผสมแป้งที่ร่อนไว้ลงไปสลับกับส่วนผสมของเหลว (นมกับน้ำปูนใส) ตะล่อมคนผสมจนเข้ากัน หลังจากนั้นพักแป้งไว้ประมาณ 30 นาที
-
อุ่นกระทะจนร้อน ปรับเป็นไฟอ่อน ๆ ตักแป้งโตเกียวลงไปแล้วใช้กระบวยวนเป็นวงกลมขนาดตามชอบเลย
-
นำแป้งโตเกียวใส่ถุงบีบ หรือใช้ช้อนตัก วาดเป็นเส้น ๆ ลวดลายตามชอบ
-
ใส่ไข่ตามลงไปทันที เพราะไข่จะสุกช้า เติมรสชาติด้วยซอสปรุงรสและไส้กรอก พอแป้งสุกแล้วก็ม้วน
7. ขนมรวมมิตร
ส่วนผสม ขนมรวมมิตร
-
แป้งมันสำปะหลัง 500 กรัม
-
น้ำเปล่า (1) 250 มิลลิลิตร
-
สีผสมอาหารตามชอบ
-
สาคู 150 กรัม
-
น้ำ สำหรับต้ม
ส่วนผสม น้ำกะทิ
-
กะทิ 400 มิลลิลิตร
-
น้ำเปล่า (2) 600 มิลลิลิตร
-
น้ำตาลทราย 200 กรัม
-
เกลือ 1/4 ช้อนชา
-
ท็อปปิ้งตามชอบ
วิธีทำขนมรวมมิตร
-
ทำแป้งขนม โดยต้มน้ำ (1) ให้เดือด หลังจากนั้นนำน้ำร้อนที่ได้ทยอยเทลงในแป้ง คนให้แป้งจับตัวเป็นก้อน พอเริ่มจับตัวให้นวดจนแป้งเนียน นำแป้งแบ่งเป็นสีตามที่จะใส่ (ตามชอบ) จากที่ทำแบ่งเป็น 4 ส่วน สำหรับ 4 สี
-
นำสีหยดลงในถ้วย ผสมน้ำเล็กน้อย (ปริมาณความเข้มของสีตามชอบ) แล้วคนให้เข้ากัน นำสีที่ได้เทใส่ลงในแป้งที่แบ่งไว้แล้วนวดให้เข้ากัน โดยทำทีละสี ทำแบบนี้จนครบตามที่แบ่งแป้งไว้ หลังจากนั้นแบ่งแป้งแต่ละสีออกเป็น 2 ส่วน เพื่อทำครองแครงและลอดช่อง
-
ปั้นแป้งที่แบ่งไว้เป็นครองแครง และคลึงแป้งส่วนที่เหลือเป็นแผ่นบาง ๆ ตัดเป็นชิ้นตามยาว ขนาดกว้างประมาณ 2 นิ้ว นำมาซ้อนกัน แล้วตัดเป็นชิ้นยาวขนาดเล็กเพื่อทำลอดช่อง เมื่อทำครองแครงและลอดช่องเสร็จครบทุกสีแล้วหาผ้าคลุมแล้วพักไว้สักครู่
-
ต้มน้ำให้เดือด (น้ำส่วนนี้ไม่มีในส่วนผสม) เมื่อเดือดแล้วให้ใส่สาคูลงไปต้มให้สุก แล้วพักไว้ในน้ำเย็น
-
นำน้ำใส่หม้อแล้วต้มน้ำให้เดือด หลังจากนั้นต้มครองแครงให้สุก แล้วตักขึ้นพักในน้ำเย็น และต้มลอดช่องให้สุก แล้วพักในน้ำเย็นเช่นกัน
-
ทำกะทิ โดยนำกะทิ น้ำเปล่า น้ำตาลทราย และเกลือ ใส่ลงหม้อ คนให้เข้ากัน แล้วนำตั้งไฟอ่อนแค่พอเดือดปุด ๆ ที่ขอบหม้อ แล้วปิดไฟ นำขึ้นพักให้เย็น
-
ใส่สาคู ครองแครง และลอดช่อง ลงในน้ำกะทิ ตามด้วยท็อปปิ้งต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ลงไป ถ้ามีขนุนใส่ลงไปด้วยจะยิ่งหอม ตักเสิร์ฟเลย หรือจะใส่น้ำแข็งก็อร่อยชื่นใจ
8. ขนมผิง
ส่วนผสม ขนมผิง
-
แป้งมันสำปะหลัง 250 กรัม
-
กะทิ 250 กรัม
-
น้ำตาลโตนด หรือน้ำตาลทรายขาว 100-125 กรัม (ไม่ควรลดต่ำกว่า 100 กรัม เดี๋ยวจะเคี่ยวน้ำเชื่อมไม่ได้)
-
ไข่แดง 1 ฟอง
-
เทียนหอม เอาไว้อบควันเทียน (ไม่ใส่ก็ได้ หรือใช้กลิ่นอื่น)
วิธีทำขนมผิง
-
เริ่มจากคั่วแป้งไล่ความชื้นจะทำให้ขนมกรอบนานขึ้น ใครไม่ค่อยมีเวลาก็สามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย แป้งที่คั่วจะมีสีน้ำตาลอ่อน หลังจากคั่วเสร็จแล้วก็ให้อบควันเทียนทิ้งไว้ 1 คืน ถ้าใครไม่มีเทียนหอมก็สามารถข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย ไปใส่กลิ่นอย่างอื่นทีหลัง
-
ใส่กะทิและน้ำตาลโตนด ใช้ไฟอ่อนเคี่ยวประมาณ 30 นาที ให้กลายเป็นน้ำเชื่อม เมื่อพักไว้ให้เย็นแล้วจะหนืดเป็นยางมะตูม ถ้าใช้น้ำตาลทรายขาวทำน้ำเชื่อมแนะนำให้ใส่ใบเตยลงไปต้มด้วยจะได้หอม หลังจากน้ำเชื่อมเย็นแล้วให้ใส่ไข่แดงลงไป คนให้เข้ากัน
-
เทน้ำเชื่อมลงในแป้ง ค่อย ๆ แบ่งเทประมาณ 3 รอบ ค่อย ๆ นวดแป้งให้เข้ากับน้ำเชื่อม น้ำเชื่อมจะหนืดมาก ใช้แรงเยอะพอสมควรในการนวดให้เข้ากัน แป้งที่นวดเสร็จแล้วต้องมีเนื้อสัมผัสคล้ายดินน้ำมัน คือไม่แห้งเกินไปจนปั้นไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เหลวเกินแบบคุกกี้โดว์ เอาเป็นว่าให้มีความรู้สึกว่าปั้นได้ แต่ถ้าออกแรงกดเยอะก็จะเละ ถ้าแป้งเหลวเกินไปอบออกมาแล้วหน้าจะไม่แตก เนื้อข้างในก็จะไม่สุกด้วย
-
เนื่องจากน้ำเชื่อมที่แต่ละคนได้ออกมาจะมีปริมาณไม่เท่ากัน ฉะนั้นถ้าแห้งเกินให้ใส่น้ำเพิ่ม แนะนำใช้ฟ็อกกี้ที่เอาไว้ฉีดน้ำรีดผ้า ถ้าเหลวไปก็ใส่แป้งเพิ่มเท่านั้นเอง จากนั้นพักแป้งไว้ 2-3 ชั่วโมง พอครบเวลาก็ปั้นเป็นก้อนกลม เอาไปอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส ประมาณ 15-20 นาที ใช้ไฟบน-ล่าง ถ้าอยากให้กรอบมากขึ้นแนะนำให้ทิ้งไว้ในเตาอบหลังอบเสร็จสักพัก
9. ขนมไข่นกกระทา
ส่วนผสม ขนมไข่นกกระทา
-
แป้งมันสำปะหลัง 100 กรัม
-
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 25 กรัม (ถ้าชอบแบบเหนียวนุ่มก็สามารถใช้แป้งข้าวโพดแทนได้)
-
ผงฟู 1 ช้อนชา
-
น้ำตาลทราย 100 กรัม
-
เกลือ 1/2+1/4 ช้อนชา
-
มันเทศนึ่งบดละเอียด 350 กรัม
-
น้ำปูนใสประมาณ 4-5 ช้อนโต๊ะ (ค่อย ๆ ใส่แล้วนวดจนแป้งไม่ร่วนและปั้นเป็นลูกได้)
วิธีทำขนมไข่นกกระทา
-
ร่อนแป้งมันสำปะหลัง แป้งสาลีอเนกประสงค์ และผงฟู หลังจากนั้นใส่น้ำตาลทรายและเกลือลงไป คนให้ส่วนผสมเข้ากัน
-
นำแป้งที่ผสมแล้วใส่ลงไปในมันเทศที่นึ่งบดแล้ว แบ่งแป้งใส่สัก 3 รอบ นวดขยำจนเข้ากัน หลังจากนั้นค่อย ๆ ใส่น้ำปูนใสลงไปทีละ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วนวดจนแป้งเนียนไม่ร่วน สามารถปั้นเป็นก้อนได้ เสร็จแล้วปั้นเป็นลูกกลม ๆ
-
ตั้งน้ำมันให้ร้อน แล้วนำไข่นกกระทาลงไปทอดด้วยไฟอ่อน ๆ คนไปด้วยขนมจะได้ไม่ไหม้ พอทอดจนขนมเริ่มเหลืองฟูขึ้นก็นำตะหลิวกดยีขนม เพื่อให้ขนมฟูขึ้นจากขนาดเดิมประมาณ 1.5-2 เท่า ฟูมากก็กลวงมาก พอพองเหลืองแล้วก็ต้องทอดต่อไปอีกสัก 4-5 นาที เพื่อให้ผิวขนมเซตตัวกรอบดีก่อน ถ้าตักขึ้นมาเร็วก็จะยุบและแฟบ พอสุกพองเหลืองได้ที่แล้วก็ตักมาพักบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน
10. ลูกชิ้นหมู
ส่วนผสม ลูกชิ้นหมู
-
แป้งข้าวโพด หรือแป้งมันสำปะหลัง 3 ช้อนโต๊ะ
-
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 5 ช้อนโต๊ะ
-
เกลือป่น 1 ช้อนชาพูน ๆ
-
พริกไทยป่น 1 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
-
ผงชูรส 1 ช้อนชา (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
-
ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำเย็นจัด 1+1/2 ถ้วย
-
เนื้อหมูบดติดมัน 700 กรัม (หรือเนื้อสัตว์อื่นตามชอบ)
-
น้ำเปล่า
-
น้ำร้อน
-
กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำลูกชิ้นหมู
-
ผสมแป้งข้าวโพด แป้งสาลีอเนกประสงค์ เกลือป่น พริกไทยป่น น้ำตาลทราย ผงชูรส และผงฟู เข้าด้วยกันในอ่างผสม เทน้ำเย็นลงไป คนผสมให้ทุกอย่างเข้ากัน
-
ใส่เนื้อหมูบดลงไป ตีผสมด้วยเครื่องให้เข้ากันประมาณ 10 นาที จนส่วนผสมเหนียวและเข้ากันดี นำไปแช่ตู้เย็น
-
ใส่น้ำเปล่าลงในหม้อหรือกระทะ นำขึ้นตั้งไฟจนเดือด บีบส่วนผสมลูกชิ้นเป็นลูกใส่ลงไปในน้ำร้อน วิธีบีบลูกชิ้นให้ใช้มือตักเนื้อมากำไว้หลวม ๆ นิ้วชี้และนิ้วโป้งทำเป็นรูเล็ก ๆ เพื่อให้เนื้อที่บีบลอดออกมา แล้วกำมือให้แน่นขึ้น เนื้อก็จะลอดออกมา พอเนื้อลอดออกมาใช้ช้อนตักใส่ในกระทะเลย ลองบีบดูก่อนก็ได้ อยากได้ลูกขนาดไหนให้บีบและต้มดูก่อนสัก 2-3 ลูก
-
เมื่อลูกชิ้นสุกก็จะลอยขึ้น จากนั้นตักขึ้นแช่ไว้ในน้ำเย็นจัดทันที พร้อมเสิร์ฟ
11. ลูกชิ้นหมูเด้ง
ส่วนผสม ลูกชิ้นหมูเด้ง
-
เนื้อหมู (ไม่เอามัน) 1,000 กรัม
-
น้ำเย็น 1/2 ถ้วย
-
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
-
ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
-
แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
-
ผงแอคคอร์ด 1 ช้อนโต๊ะ (เป็นสารช่วยให้เนื้อสัตว์เกาะตัวกันได้ดี ไม่เสียน้ำหนัก)
-
พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ
-
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
-
ผงฟู 1/2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำลูกชิ้นหมูเด้ง
-
หั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปแช่ช่องแข็ง ประมาณ 45 นาที หรือจนกว่าจะเริ่มแข็งนิด ๆ มีน้ำแข็งเกาะนิดหน่อย
-
นำออกมาใส่โถปั่น ปั่นครั้งที่ 1 จนเนื้อละเอียด พอปั่นเสร็จเอาไปแช่ช่องแข็งต่อ ประมาณ 15 นาที จนเย็นจัด
-
ทำน้ำปรุงรสลูกชิ้น โดยผสมน้ำเย็นจัดกับซีอิ๊วขาว ใส่น้ำตาลทราย เกลือ แป้งข้าวโพด ผงฟู ผงแอคคอร์ด (สารนี้ทำให้เนื้อสัตว์เกาะตัวกันดี ทำให้เนื้อลูกชิ้นแน่นไม่เละ ไม่มีอันตรายใด ๆ) และพริกไทยป่น คนให้เข้ากัน
-
นำเนื้อหมูที่บดแล้วแช่เย็นจัดใส่โถปั่น ใส่เครื่องปรุงที่ผสมไว้ลงไปนวดให้เข้ากัน (ถ้านวดมือก็นวดนาน ๆ ฟาดกับกะละมังเหมือนทำทอดมัน) นวดจนเนื้อลูกชิ้นเนียนเหนียวจนพอใจ ตักส่วนผสมเล็กน้อยใส่ชามแล้วนำไปเข้าไมโครเวฟจนสุก เพื่อชิมรสก่อน) ใช้เวลาปั่นประมาณ 15 นาที จากนั้นเอาโถไปใส่ในช่องแข็งประมาณ 45 นาที
-
ปั้นลูกชิ้น โดยตักส่วนผสมทีละนิดมาปั้น (หากะละมังใส่น้ำแข็งรองก้นระหว่างการปั้น เพื่อให้เนื้อลูกชิ้นได้รับความเย็นจัดอยู่ตลอดระหว่างการปั้น)
-
ตั้งน้ำให้ร้อน แต่ไม่ต้องเดือด ตักส่วนผสมมาใส่มือ เอานิ้วโป้งและนิ้วชี้คอยบังคับ บีบ ๆ ให้เนื้อลูกชิ้นปลิ้นออกมาระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้ง เอาช้อนที่จุ่มน้ำมาปาดลูกชิ้นใส่หม้อน้ำต้ม ต้มทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที โดยไม่ต้องเพิ่มไฟ ให้น้ำนิ่ง ๆ เพื่อด้านในของลูกชิ้นจะได้สุกทั่วถึง ระหว่างนี้ก็ไปเตรียมน้ำแข็งใส่น้ำให้เย็นจัดรอไว้ก่อนค่ะ ต้มไป 15 นาที
-
พอครบเวลา 15 นาทีแล้วเราจะตักขึ้นใส่ในน้ำเย็นจัดทันที เพื่อหยุดความร้อนแล้วทิ้งไว้ก่อน ประมาณ 3-5 นาที ให้อยู่ในน้ำเย็น จากนั้นเราตักขึ้นจากน้ำเย็นใส่กระชอน พักให้สะเด็ดน้ำ พร้อมเสิร์ฟ
12. ข้าวเหนียวเปียกลำไย
ส่วนผสม ข้าวเหนียวเปียก
-
ข้าวเหนียว 250 กรัม
-
สารส้มโขลก
-
ลำไย 500-750 กรัม (คว้านเม็ดออก)
-
น้ำตาลทราย 350 กรัม
-
มะพร้าวอ่อน 1 ลูก (แยกน้ำและเนื้อเตรียมไว้)
-
น้ำลอยดอกมะลิ
-
เกลือป่นนิดหน่อย
-
ใบเตย
ส่วนผสม กะทิสำหรับราด
-
หัวกะทิ 1 ถ้วย
-
แป้งข้าวโพด 1/4 ช้อนโต๊ะ
-
เกลือป่นนิดหน่อย
วิธีทำข้าวเหนียวเปียกลำไย
-
ล้างข้าวเหนียวในน้ำที่ผสมสารส้มไว้ ใช้มือซาวข้าวเหนียวไปมาจนน้ำขุ่น เทน้ำออก แล้วล้างข้าวเหนียวด้วยน้ำเปล่าอีก 2 รอบ สะเด็ดน้ำ เตรียมไว้
-
ใส่น้ำมะพร้าวอ่อนลงไปในหม้อ ตามด้วยน้ำลอยดอกมะลิ นำขึ้นตั้งไฟกลางพอเดือด เทข้าวเหนียวลงไป ตามด้วยใบเตย คนไปเรื่อย พอข้าวเหนียวเริ่มอืดให้ลดเหลือไฟอ่อน ถ้าน้ำแห้ง เติมน้ำลอยดอกมะลิหรือน้ำสะอาดลงไป พอสุกดีใส่น้ำตาลทรายกับเกลือลงไป คนผสมจนเข้ากัน ชิมรสตามชอบ
-
ใส่มะพร้าวอ่อนกับลำไยลงไป พอเดือดอีกครั้งปิดไฟ
-
ทำน้ำกะทิ โดยเอาหัวกะทิใส่หม้อใบเล็ก เติมแป้งลงไป เกลือนิดหน่อย คนให้เข้ากันจนแป้งละลาย เอาไปตั้งไฟกลางค่อนมาทางอ่อน คนไปเรื่อย ๆ จนเดือด ตักข้าวเหนียวเปียกลำไยใส่ถ้วย ราดกะทิลงไป
13. สังขยาใบเตย
ส่วนผสม สังขยาใบเตย
-
ใบเตย 4-5 ใบ (ถ้าไม่ใส่สีผสมอาหารและต้องการให้สังขยามีสีสวย ควรใส่สัก 8-10 ใบ)
-
กะทิกล่อง 250 มิลลิลิตร (ถ้าใช้หัวกะทิสดทำจะหอมกว่าเยอะ)
-
ไข่แดง 2 ฟอง
-
น้ำตาลทราย 1+1/2 ช้อนโต๊ะ (สูตรหวานน้อย สามารถใส่เพิ่มได้)
-
แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
-
สีผสมอาหารสีเขียว 1/2 ช้อนชา
-
นมข้นหวาน 2 ช้อนโต๊ะ
-
นมข้นจืด 3 ช้อนโต๊ะ
-
เกลือ 1-2 กรัม หรือ 1/8 ช้อนชา
วิธีทำสังขยาใบเตย
-
ลวกใบเตยด้วยน้ำร้อน ใบเตยที่ลวกแล้วจะมีกลิ่นหอมขึ้นและไม่เหม็นเขียว
-
นำใบเตยไปปั่นกับกะทิ กรองด้วยผ้าขาวบาง และนำไปต้มด้วยไฟอ่อนให้พออุ่น เวลากะทิได้ที่ให้สังเกตว่าจะมีฟองปุดเล็ก ๆ อยู่รอบหม้อ ระวังอย่าให้กะทิเดือดแตกมัน
-
ตีไข่แดงและน้ำตาลทรายให้เข้ากัน จากนั้นให้ใส่แป้งข้าวโพดลงไป ควรร่อนแป้งข้าวโพด ถ้าแป้งข้าวโพดเป็นก้อนแล้วแก้ยาก เทกะทิลงไป 1 ใน 3 ส่วนก่อน เพื่อให้อุณหภูมิของไข่สูงขึ้น เวลาเทก็คนไปด้วย คนไปเรื่อย ๆ เมนูนี้คนอย่างเดียว เมื่อคนจนเข้ากันแล้วให้เทกะทิที่เหลือลงไปผสมให้เข้ากัน
-
ใส่เกลือ นมข้นหวาน นมข้นจืด และสีผสมอาหาร แล้วคนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปตั้งไฟอ่อนเพื่อกวนสังขยา คนไปเรื่อย ๆ ประมาณ 10-15 นาที สังขยาก็จะได้ที่แล้ว ข้อควรระวังคือ ถ้าหม้อร้อนเกินไปก็จะทำให้สังขยาเป็นก้อนได้ ในสูตรกวนได้สัก 2 นาทีก็ยกหม้อออก เพื่อกันไม่ให้สังขยาเดือด แล้วกวนต่อด้วยความร้อนที่เหลือประมาณ 1 นาที แล้วยกหม้อไปตั้งเตากวนต่อ ทำแบบนี้วนไป
-
เมื่อสังขยาได้ที่แล้วให้นำหม้อมากวนต่อในชามน้ำแข็ง เพื่อป้องกันไม่ให้สังขยาสุกต่อจากความร้อนที่เหลือ เทใส่ตะแกรง 1 รอบ เพื่อกรองไม่ให้มีก้อนสังขยา แค่นี้ก็เสร็จพร้อมเสิร์ฟแล้ว
14. แป้งขนมเทียน
ส่วนผสม แป้งขนมเทียน
-
แป้งข้าวเหนียว หรือแป้งข้าวเหนียวดำ 500 กรัม
-
น้ำตาลปี๊บ 200-300 กรัม
-
น้ำเปล่า 350 มิลลิลิตร
วิธีทำขนมเทียน
- นวดผสมน้ำตาลปี๊บกับแป้งข้าวเหนียว ค่อย ๆ เทน้ำลงไปทีละนิดแล้วนวดจนส่วนผสมเข้ากันดี (ระวังไม่เหลวและไม่หนืดจนเกินไป) พักแป้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง
ส่วนผสม แป้งขนมเทียนผสมหญ้าชิวคัก
-
แป้งข้าวเหนียว 500 กรัม
-
น้ำตาลปี๊บ 200-300 กรัม (ปรับความหวานได้ตามชอบ)
-
น้ำเปล่า 350 มิลลิลิตร
-
หญ้าชิวคัก 30 กรัม
วิธีทำแป้งขนมเทียนผสมหญ้าชิวคัก
-
ล้างหญ้าชิวคักให้สะอาด จากนั้นนำไปแช่น้ำประมาณ 30 นาที จนหญ้านิ่ม ล้างอีกครั้งแล้วบีบให้แห้ง นำไปปั่นจนละเอียด เตรียมไว้
-
ใส่หญ้าสับลงในแป้งข้าวเหนียว ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป ค่อย ๆ เทน้ำลงไปทีละนิดแล้วนวดจนส่วนผสมเข้ากันดี (ระวังไม่เหลวและไม่หนืดจนเกินไป) พักแป้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง
วิธีทำขนมเทียน
-
เตรียมใบตองสำหรับห่อขนม ล้างน้ำให้สะอาด
-
จับใบตองให้เป็นทรงกรวย ใส่ไส้ที่ปั้นไว้ลงไป ตักส่วนผสมแป้งใส่ จากนั้นห่อให้สวยงาม เรียงลงในชุดนึ่ง
-
นำขนมไปนึ่งด้วยไฟแรงที่มีน้ำเดือดพล่าน นึ่งนานประมาณ 30 นาที หรือจนขนมสุก ปิดไฟ นำออกจากชุดนึ่ง
ส่วนผสม ไส้ขนมเทียน
-
ถั่วเขียวซีกเราะเปลือก 1 กิโลกรัม
-
กระเทียม
-
พริกไทย
-
น้ำมันพืช สำหรับผัด
-
เกลือป่น สำหรับปรุงรส
-
น้ำตาลทราย สำหรับปรุงรส
วิธีทำขนมเทียนไส้เค็ม
-
ล้างถั่วเขียวซีกเราะเปลือกให้สะอาด แช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือข้ามคืน จากนั้นนำไปนึ่งจนสุก พักทิ้งไว้จนเย็นสนิท
-
โขลกกระเทียมกับพริกไทยเข้าด้วยกันจนละเอียด ใส่ถั่วเขียวนึ่งลงโขลกพอหยาบ
-
ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ ใส่ส่วนผสมไส้ลงผัดจนหอม ปรุงรสด้วยเกลือป่นและน้ำตาลทราย ชิมรสตามชอบ ให้มีรสหวาน เค็ม เผ็ด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น ปั้นเป็นก้อนกลม เตรียมไว้
15. ขนมโคกะทิสด
ส่วนผสม ไส้มันม่วง
-
มันม่วงนึ่งสุก 320 กรัม
-
กะทิ 150 กรัม
-
น้ำตาลทราย 100 กรัม
ส่วนผสม ขนมโค
-
แป้งข้าวเหนียว 150 กรัม (สำหรับทำแป้ง 2 สี)
-
น้ำดอกอัญชัน 90 มิลลิลิตร
-
น้ำเปล่า 90 มิลลิลิตร
ส่วนผสม กะทิสด
-
กะทิ 350 กรัม
-
เกลือ 1/4 ช้อนชา
-
น้ำตาลทราย 80 กรัม
-
งาขาว หรืองาดำคั่ว
วิธีทำขนมโคกะทิสดไส้มันม่วง
-
ทำไส้มันม่วง โดยนำมันม่วงมาปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นแล้วนำไปนึ่งจนสุก หลังจากสุกนำมาบดให้ละเอียด
-
เติมน้ำตาลทรายและกะทิลงไป คนให้เข้ากัน เทใส่กระทะ กวนให้แห้ง พักให้เย็น แล้วปั้นเป็นก้อนกลม และคั่วงาให้หอม
-
ทำแป้งขนม โดยแบ่งแป้งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกผสมแป้งและน้ำอัญชัน นวดให้แป้งนิ่มพร้อมปั้นก้อน อีกส่วนหนึ่งผสมแป้งและน้ำเปล่า นวดให้แป้งนิ่มพร้อมปั้นก้อน
-
ปั้นแป้งเป็นก้อนแล้วกดให้แบน ใส่ไส้มันม่วงแล้วห่อไม่ให้แป้งแตกเห็นไส้ เตรียมไว้
-
ทำกะทิสด โดยต้มน้ำกะทิ ใส่น้ำตาลทรายกับเกลือลงไป ต้มด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลายแล้วปิดไฟ
-
ต้มขนม โดยนำน้ำเปล่าใส่หม้อต้มจนเดือด แล้วใส่แป้งที่ปั้นไว้ต้มให้สุก สังเกตว่าถ้าแป้งลอยแสดงว่าสุกแล้ว ให้ตักใส่หม้อกะทิ ตักเสิร์ฟ โรยงา
16. บัวลอยไข่หวาน
ส่วนผสม บัวลอยไข่หวาน
-
แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย
-
น้ำ 1/4 ถ้วย
-
เผือกนึ่งสุก (หรือสีผสมอาหารสีม่วง)
-
ฟักทองนึ่งสุก (หรือสีผสมอาหารสีเหลือง)
-
น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น (หรือสีผสมอาหารสีเขียว)
-
น้ำกะทิ 1 ถ้วย
-
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
-
เกลือป่น 1 ช้อนชา
-
ไข่ไก่
วิธีทำบัวลอยไข่หวาน
-
แบ่งแป้งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 นวดผสมแป้งกับน้ำและเผือกนึ่งสุก
ส่วนที่ 2 นวดแป้งกับน้ำและฟักทองนึ่งสุก
ส่วนที่ 3 นวดแป้งกับน้ำใบเตย นวดผสมจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ แล้วนำไปคลุกแป้งข้าวเหนียวบาง ๆ เตรียมไว้
-
ใส่น้ำกะทิลงในหม้อ เติมน้ำตาลทรายและเกลือป่น คนผสมจนละลาย นำขึ้นตั้งไฟ พอเดือดรีบปิดไฟ ตักใส่ถ้วยเตรียมไว้
-
ต้มน้ำในหม้อจนเดือด นำบัวลอยลงต้มทีละสีจนลอยขึ้นมา จากนั้นตักขึ้นสะเด็ดน้ำ ใส่ลงในถ้วย ตักกะทิที่เตรียมไว้ใส่ลงไป
-
ตอกไข่ไก่ใส่ถ้วย ค่อย ๆ เทลงในหม้อน้ำกะทิ รอจนไข่สุกตามชอบ จากนั้นตักขึ้นใส่ในถ้วยบัวลอย พร้อมเสิร์ฟ
17. ต๊อกโบกี
ส่วนผสม แป้งต๊อกโบกี
-
แป้งข้าวเหนียว
-
แป้งข้าวเจ้า
-
น้ำเปล่า
วิธีทำแป้งต๊อกโบกี
-
อัตราส่วนของแป้งข้าวเหนียวกับแป้งข้าวเจ้าใช้ 2:1 ส่วน เพราะถ้าใส่แป้งข้าวเจ้ามากเกินไปเวลานึ่งออกมาตัวแป้งจะแข็ง ผิวแป้งต๊อกก็จะไม่เนียน หรือถ้าไม่มีแป้งข้าวเจ้าใช้แป้งข้าวเหนียวอย่างเดียวก็ได้ แต่เวลาที่ใช้นึ่งจะทำพอแค่แป้งสุกครึ่งหนึ่งเท่านั้น ถ้าสุกเกินไปแป้งจะเหนียวเกินไป คลึงไม่ได้ ทิ้งอย่างเดียว
-
นึ่งจนแป้งพอใส จับออกมานวดคลึงแล้วตัดเป็นแท่ง ถ้ายังไม่ทำกินเลยใส่ถุงพลาสติกแช่ตู้เย็น
ส่วนผสม ต๊อกโบกี
-
น้ำเปล่า
-
ปลาแห้ง (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
-
สาหร่าย (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
-
ซอสถั่วเหลือง
-
แป้งต๊อกโบกี
-
โคชูจัง 2 ช้อนโต๊ะ
-
พริกป่นละเอียด 1/2 ช้อนชา (พริกป่นเกาหลี หรือพริกป่นไทยก็ได้)
-
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
-
ไข่ต้ม (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
-
หมูยอเห็ดหอม หรือปลาแผ่น
-
หอมหัวใหญ่หั่นแว่น
-
กะหล่ำปลีซอย
-
แครอต
-
ต้นหอมซอย
วิธีทำต๊อกโบกี
-
ต้มน้ำเปล่า (ใส่ปลาแห้ง หรือสาหร่ายด้วยก็ได้)
-
เติมซอสถั่วเหลือง ใส่แป้งต๊อกที่เตรียมไว้ลงไป แล้วเติมซอสโคชูจังผสม (โคชูจัง 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา, พริกป่น 1/2 ช้อนชา ชอบเผ็ดมากเติมได้ ผสมซอสให้เข้ากัน)
-
ใส่ผักทั้งหลายที่เตรียมไว้ ได้แก่ หอมหัวใหญ่ กะหล่ำปลี และแครอต ตามด้วยหมูยอ ไข่ต้ม ตั้งทิ้งไว้คนสม่ำเสมอ แป้งจะได้ไม่ติดกระทะ จนต๊อกโบกีข้นพอดีโรยหน้าด้วยต้นหอมซอย
18. ขนมกล้วย
ส่วนผสม ขนมกล้วย
-
กล้วยน้ำว้าสุก (บดละเอียด) 500 กรัม
-
น้ำตาลทราย 100 กรัม
-
เกลือป่น 1 ช้อนชา
-
แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม
-
แป้งมันสำปะหลัง 5 ช้อนโต๊ะ
-
หัวกะทิ 200 มิลลิลิตร
-
มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย
อุปกรณ์
-
ใบตองสำหรับห่อ (ถ้าไม่มีใบตองสามารถใช้ถ้วยตะไลได้)
วิธีทำขนมกล้วย
-
ผสมกล้วยน้ำว้ากับน้ำตาลทราย เกลือป่น แป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง หัวกะทิ และมะพร้าวขูด คนผสมให้เข้ากันดี
-
ตักส่วนผสมขนมกล้วยลงบนใบตอง แผ่บาง ๆ หรือจะทำเป็นทรงกรวยห่อเป็นทรงให้สวยงาม (หรือตักใส่ถ้วยตะไล) วางเรียงบนชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด นึ่งประมาณ 20 นาที หรือจนขนมสุก จากนั้นนำออกจากชุดนึ่ง พร้อมเสิร์ฟ
19. ขนมฟักทอง
ส่วนผสม ขนมฟักทอง
-
แป้งข้าวเจ้า 50 กรัม
-
แป้งมันสำปะหลัง 40 กรัม
-
แป้งเท้ายายม่อม 50 กรัม
-
หัวกะทิ 200 กรัม
-
เนื้อฟักทองนึ่งสุก 300 กรัม
-
น้ำตาลปี๊บ 40 กรัม
-
น้ำตาลทราย 90 กรัม
-
เกลือป่น 1 ช้อนชา
-
มะพร้าวทึนทึกขูด 100 กรัม
วิธีทำขนมฟักทอง
-
ใส่แป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งเท้ายายม่อม ลงในภาชนะ ใส่กะทิ ประมาณ 60-80 กรัม ลงไปแล้วนวด ประมาณ 15 นาที แป้งต้องนวดเพราะจะทำให้แป้งเหนียวหนึบหนับ
-
นำกะทิที่เหลือ น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย เนื้อฟักทอง และเกลือป่น ใส่ลงในเครื่องปั่นเพื่อให้เนื้อละเอียด เทผสมลงในแป้ง ใช้มือหรือตะกร้อมือคนเพื่อให้ส่วนผสมเข้ากัน ใส่เนื้อมะพร้าวขูดลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้งหนึ่ง
-
เมื่อเสร็จแล้วนำไปห่อใบตองหรือใส่ถ้วย และนำไปนึ่งประมาณ 15 นาที ใครชอบมะพร้าวขูดสามารถโรยเพิ่มได้
20. ลอดช่อง
ช่วงบ่ายอากาศร้อนจัดสักถ้วยกันไหมกับลอดช่อง สูตรจาก RinS Cook Book (#Rinscookcook) ตัวลอดช่องทำจากแป้งข้าวเจ้าและแป้งมัน ใส่แป้งถั่วเขียวเพื่อทำให้ลอดช่องมีเนื้อเหนียวนุ่ม ไม่คืนตัวและเป็นน้ำ ใส่สีสันธรรมชาติจากน้ำใบเตย สำหรับน้ำกะทิสูตรนี้ใส่น้ำตาลปี๊บ บางสูตรใส่น้ำตาลทราย ตัดเลี่ยนจากเกลือป่น เสิร์ฟเย็น ๆ ใส่น้ำแข็งรับรองชื่นใจ
ส่วนผสม ลอดช่อง
-
ใบเตยหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 1 ปอนด์ (ประมาณ 450 กรัม)
-
น้ำปูนใส 9+1/2 - 10 ถ้วย
-
แป้งข้าวเจ้า 3 ถ้วย
-
แป้งมันสำปะหลัง 1 ถ้วย
-
แป้งถั่วเขียว 4 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำเย็นจัด
-
น้ำแข็งทุบ
ส่วนผสม น้ำกะทิ
-
น้ำตาลปี๊บ 3+1/2 - 4 ถ้วย
-
เกลือป่น 1 ช้อนชา
-
กะทิ 5 ถ้วย
วิธีทำลอดช่อง
-
ทำน้ำกะทิ โดยใส่น้ำตาลปี๊บ เกลือป่น และกะทิ ลงในอ่างผสม ใช้มือขยำส่วนผสมเข้าด้วยกันจนน้ำตาลปี๊บละลายเข้ากันดี กรองด้วยตะแกรง
-
นำส่วนผสมน้ำกะทิขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวจนน้ำกะทิใกล้เดือด (ให้ส่วนผสมเดือดเฉพาะตรงกลาง ไม่เดือดพล่าน เพื่อไม่ให้กะทิแตกมัน) ประมาณ 10-15 นาที ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น เตรียมไว้ (สามารถทำไว้ล่วงหน้าหรือทำทิ้งไว้ข้ามคืนได้)
-
ใส่ใบเตยลงในเครื่องปั่น ตามด้วยน้ำปูนใส 6-7 ถ้วย ปั่นจนละเอียด จากนั้นคั้นเอาเฉพาะน้ำ เตรียมไว้
-
ใส่แป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งถั่วเขียว ลงไปในน้ำใบเตย โดยปล่อยให้แป้งค่อย ๆ จมลงไปในน้ำจนหมด (เทคนิค : ปล่อยให้แป้งจมลงไปในน้ำเอง รอประมาณ 1 นาที โดยไม่ต้องคน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าแป้งจะไม่จับตัวเป็นก้อนและละลายเข้ากับน้ำทั้งหมด) พอแป้งจมลงหมดแล้วค่อย ๆ คนผสมจนเข้ากันดี จากนั้นกรองด้วยตะแกรง เตรียมไว้
-
ใส่ส่วนผสมลงในกระทะก้นลึกขนาดใหญ่ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง กวนผสมตลอดเวลา ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง พอแป้งเริ่มเหนียวค่อย ๆ เทน้ำปูนใสที่เหลือลงไปจนหมด กวนจนส่วนผสมเหนียวและมีสีใส
-
ตักส่วนผสมแป้งใส่เครื่องกดลอดช่อง กดแป้งเป็นเส้น ๆ ลงในน้ำเย็นจัด จากนั้นตักส่วนผสมขึ้นใส่ลงในถ้วย ตามด้วยน้ำกะทิที่เตรียมไว้และน้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ
21. ขนมเปียกปูน
ส่วนผสม ขนมเปียกปูน
-
แป้งข้าวเจ้า 500 กรัม
-
แป้งเท้ายายม่อม หรือแป้งมัน 150 กรัม
-
น้ำปูนใส
-
น้ำตาลปี๊บ 1+1/2 กิโลกรัม (ปรับเพิ่ม-ลดความหวานได้ตามชอบ)
-
น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น
-
มะพร้าวทึนทึกขูดเป็นเส้น สำหรับโรยหน้า
วิธีทำขนมเปียกปูน
-
ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งเท้ายายม่อม และน้ำปูนใสเล็กน้อยพอให้เหลว ๆ คนให้ละลายเข้าด้วยกัน
-
ใส่น้ำใบเตยลงไปคนให้เข้ากัน ตามด้วยน้ำตาลปี๊บคนให้ละลาย จากนั้นนำน้ำไปกรองผ่านกระชอน
-
เทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลืองหรือกระทะเทฟลอน นำขึ้นตั้งกวนด้วยไฟแรงจนส่วนผสมงวดและแห้งเหนียว
-
ตักส่วนผสมใส่พิมพ์ พักทิ้งไว้จนส่วนผสมเซตตัว ตัดเป็นชิ้น ๆ โรยมะพร้าวขูด พร้อมเสิร์ฟ
22. กุยช่ายทอด
ส่วนผสม กุยช่ายทอด
-
กุยช่าย 300 กรัม
-
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
-
เกลือ 1/4 ช้อนชา
-
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
-
เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา
-
แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม
-
แป้งมัน 100 กรัม
-
แป้งข้าวเหนียว 40 กรัม
-
น้ำ 1 แก้ว
ส่วนผสม น้ำจิ้มกุยช่ายทอด
-
ซีอิ๊วดำหวาน 2 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
-
เกลือเล็กน้อย
-
พริกสด
วิธีทำกุยช่ายทอด
-
หั่นใบกุยช่าย ปรุงรสด้วยน้ำมันพืช น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำมันหอย ตามด้วยเบกกิ้งโซดา คลุกเคล้าแบบเบามือให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน ผักจะสีเขียวสด ไม่ช้ำ พักไว้
-
ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งข้าวเหนียว เติมน้ำครึ่งหนึ่ง ค่อย ๆ นวดให้แป้งเหนียวนุ่ม และเติมน้ำที่เหลือจนหมดแก้ว ผสมให้เข้ากัน ใส่ผักกุยช่ายลงไปผสมกับแป้ง
-
ใส่น้ำมันในกระทะเล็กน้อย ใช้ไฟอ่อน ๆ แล้วเทส่วนผสมกุยช่ายลงไปทอด ปิดฝา ทอดประมาณ 10 นาที จนเริ่มสุกกรอบ แล้วให้กลับขนมกุยช่ายอีกด้านทอดจนเหลืองกรอบ
วิธีทำน้ำจิ้มกุยช่าย
-
นำส่วนผสมทุกอย่างไปเคี่ยวจนเดือดจัด ๆ ความข้นตามความชอบ ใส่พริกตามชอบ
23. ขนมกุยช่าย
ส่วนผสม ขนมกุยช่าย
-
กุยช่าย 500 กรัม
-
เกลือ 1/2 ช้อนชา
-
เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา
-
น้ำมัน 1/2 ถ้วย
-
แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
-
แป้งมันสำปะหลัง 1/2 ถ้วย
-
น้ำเปล่าต้มเดือด 1+1/2 ถ้วย
ส่วนผสม น้ำจิ้มกุยช่าย
-
ซีอิ๊วหวาน 3 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
-
พริกขี้หนูตำละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำขนมกุยช่าย
-
ทำไส้ผักกุยช่าย โดยนำผักไปล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ใส่อ่างผสม เติมเบกกิ้งโซดาและเกลือลงไป แล้วขยำจนผักนิ่มหรือสลด ใส่น้ำมันพืชลงคลุกให้เข้ากัน แล้วเทใส่กระชอนเพื่อให้สะเด็ดน้ำมัน ตอนใส่ในแป้งจะได้ไม่เยิ้มน้ำมัน
-
ทำแป้ง โดยเทแป้งข้าวเจ้าผสมกับแป้งมัน คนให้เข้ากัน
-
ต้มน้ำร้อนให้เดือดจัดแล้วเทใส่ในแป้ง คนเรื่อย ๆ จนแป้งเหนียวจับตัวกัน แล้วนำออกมานวดมือต่อ โดยนำแป้งมันมาโรยเป็นแป้งนวล และเอามาทามือเพื่อไม่ให้แป้งเหนียวติดมือ แล้วค่อย ๆ นวด พอแป้งเนียนดีแล้วก็แบ่งแป้งออกมาแผ่ออกเป็นบาง ๆ แล้วแต่ขนาดที่ต้องการ จะใช้ไม้รีดแป้งหรือใช้มือก็ได้ ทำเป็นแผ่นแบน ๆ
-
นำไส้ผักกุยช่ายมาวางตรงกลางแล้วห่อ จะห่อแบบมีจีบด้านหน้าหรือรวบก้นให้สนิทแล้วคว่ำเป็นก้อนกลมด้านบนก็ได้
-
นำใบตองมารองก้นชุดนึ่ง เสร็จแล้วใช้มีดกรีดใบตองหน่อย จะได้มีทางให้น้ำไหลลงไปได้ เพราะตอนนึ่งน้ำจะเยอะนิดหน่อย จัดเรียงให้ห่างกันนิด เพราะเวลาสุกจะขยายตัวอีกนิดหนึ่ง นึ่งประมาณ 15 นาที
วิธีทำน้ำจิ้มขนมกุยช่าย
-
เทซีอิ๊วดำหวานใส่ถ้วย เติมน้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย และพริกขี้หนูตำละเอียด คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ
24. ข้าวเกรียบปากหม้อ
ส่วนผสม แป้งข้าวเกรียบปากหม้อ
-
แป้งข้าวเจ้า ประมาณ 1 ถ้วย
-
แป้งมันสำปะหลัง ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ
-
แป้งเท้ายายม่อม ประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ (แป้งชนิดนี้ใส่มากไม่ได้จะทำให้เหนียวเกินไป)
-
น้ำเปล่า 1 ถ้วย (โดยประมาณ)
ส่วนผสม ไส้หมู
-
หอมแดงสับ 6-7 หัว
-
รากผักชีกับเม็ดพริกไทย
-
หมูบด
-
ไชโป๊เค็มสับ
-
น้ำปลา
-
น้ำตาลปี๊บ
-
น้ำตาลทราย
-
ถั่วลิสงคั่วป่น 4-5 ทัพพี
-
กุ้งแห้งปั่นละเอียด 1 กำมือ
วิธีทำข้าวเกรียบปากหม้อ
-
ทำไส้ข้าวเกรียบปากหม้อ โดยนำรากผักชีกับเม็ดพริกไทยโขลกให้ละเอียด เตรียมไว้
-
ใส่น้ำมันเล็กน้อยในกระทะ ใส่หอมแดงลงผัดให้หอม ใส่รากผักชีและเม็ดพริกไทยที่โขลกแล้วลงผัด ตามด้วยหมูบด ใส่ไชโป๊ลงไปผัด ปรุงรสด้วยน้ำปลาเล็กน้อย น้ำตาลปี๊บกับน้ำตาลทราย ถั่วลิสงคั่วป่น และกุ้งแห้งปั่นละเอียด ผัดไปเรื่อย ๆ จนได้ที่ ตักขึ้นพักไว้
-
เตรียมหม้อปากกว้างชนิดไม่มีหูจับ เอาผ้าสีขาวเจาะรูเล็กน้อยมาขึงที่ปากหม้อให้ตึง หายางมารัดให้แน่น ก่อนเอาผ้าขึงให้ใส่น้ำลงหม้อก่อน แล้วนำไปตั้งไฟจนน้ำเดือด
-
ทำแป้งข้าวเกรียบปากหม้อ โดยผสมแป้ง เติมน้ำ คนให้เข้ากัน พอน้ำเดือดตักแป้งประมาณ 1/2 ทัพพี เทลงบนปากหม้อแล้วใช้ทัพพีเกลี่ย ๆ เป็นวงกลม อย่าบางเกินและหนาเกิน หากแป้งขาดง่ายก็แสดงว่าเจือจางไป ให้เติมแป้งข้าวเจ้าลงไปทีละนิด ปิดฝาหม้อ ประมาณ 40 วินาที เวลาเปิดฝา ถ้าแผ่นแป้งจะพองออกมาจากตัวผ้านั่นคือแป้งที่ใช้ได้ ให้ตักไส้ใส่ลงไป
-
ใช้พายยางหรือสปาตูล่าจุ่มน้ำปาดแป้งขึ้นมาหุ้มไส้ พับข้างละ 1 ครั้งพอ แค่ด้านซ้าย-ขวา เสร็จแล้วใช้ใบตองตัดเป็นแฉก ๆ มัดติดตะเกียบ จุ่มน้ำมันกระเทียมเจียว เอามาทา ๆ แป้งข้าวเกรียบไม่ให้ติดกัน จัดใส่จาน ราดหัวกะทิที่ใส่เกลือนิดหนึ่ง โรยกระเทียมเจียว เสิร์ฟพร้อมพริกขี้หนู ผักกาดหอม และผักชี
25. ขนมชั้น
ส่วนผสม ขนมชั้น
-
น้ำตาลทราย 2+1/2 ถ้วย
-
น้ำกะทิ 4 ถ้วย
-
แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย
-
แป้งมันสำปะหลัง 1/2 ถ้วย
-
แป้งเท้ายายม่อม 1+1/2 ถ้วย (หรือแป้งถั่วเขียว)
-
น้ำใบเตยคั้นเข้มข้น 1/2 ถ้วย
-
น้ำหอมกลิ่นมะลิผสมน้ำ 1/2 ถ้วย
อุปกรณ์
- ถาดหรือพิมพ์สี่เหลี่ยมสำหรับนึ่งขนม (ขนาด 10x10 นิ้ว หรือ 8x8 นิ้ว)
วิธีทำขนมชั้น
-
ใส่น้ำตาลทรายและกะทิลงในหม้อ คนผสมให้เข้ากันแล้วนำขึ้นตั้งไฟปานกลางประมาณ 5 นาที จนน้ำตาลทรายละลาย (ไม่ต้องรอให้เดือด) ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
-
นึ่งถาดหรือพิมพ์ในชุดนึ่งที่มีน้ำเดือด ประมาณ 15 นาที เตรียมไว้
-
ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งเท้ายายม่อม เข้าด้วยกัน ค่อย ๆ เทส่วนผสมน้ำกะทิลงไป ใช้มือนวดแป้งให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว นวดประมาณ 15 นาที จนแป้งไม่จับตัวเป็นก้อน จากนั้นนำไปกรองด้วยตะแกรง
-
แบ่งแป้งเป็น 2 ถ้วย โดยถ้วยที่ 1 ผสมกับน้ำใบเตย และถ้วยที่ 2 ผสมกับน้ำมะลิ คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
-
ทำชั้นที่ 1 โดยเทส่วนผสมสีขาว (เทส่วนผสมทุกชั้นประมาณ 1/3 ถ้วย) ลงในพิมพ์ ปิดฝา นึ่งประมาณ 5 นาที เปิดฝา เทส่วนผสมสีเขียวลงไป ปิดฝา นึ่งประมาณ 5 นาที ทำซ้ำเช่นเดิม สลับชั้นกันจนหมดแป้ง จะได้ประมาณ 9-10 ชั้น โดยชั้นสุดท้ายให้นึ่งประมาณ 7 นาที ยกออกจากชุดนึ่ง วางพักทิ้งไว้จนเย็นสนิท (ประมาณ 3 ชั่วโมง)
-
นำขนมออกจากถาด จุ่มมีดลงในน้ำร้อน กดลงบนขนมเป็นชิ้น ๆ จัดใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
26. หอยทอด
ส่วนผสม หอยทอด (สำหรับ 2 ที่)
-
แป้งทอดกรอบ 4 ช้อนโต๊ะ
-
แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ
-
แป้งเท้ายายม่อม 3 ช้อนโต๊ะ
-
ผงปรุงรส 1 ช้อนชา
-
พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ
-
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
-
น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย
-
น้ำปูนใส 2 ช้อนโต๊ะ (ถ้าไม่มีไม่ต้องใส่)
-
หอยแมลงภู่ 1 ถ้วย
-
ไข่ 2 ฟอง
-
ต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ
-
ถั่วงอก 1 ถ้วย
ส่วนผสม น้ำจิ้มหอยทอด
-
น้ำจิ้มไก่ 4 ช้อนโต๊ะ
-
ซอสพริก 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำหอยทอด
-
นำแป้งทอดกรอบ แป้งเท้ายายม่อม และแป้งข้าวเจ้า มาใส่ถ้วยผสม ใส่ผงปรุงรสนิดหน่อย ใส่น้ำปูนใส (ทำให้กรอบนาน) ใส่ซอสปรุงรส คนแป้งให้เข้ากัน เติมน้ำ คนส่วนผสม ไม่ให้ใสและไม่ข้นเกินไป เติมพริกไทยป่น ใส่หอยแมลงภู่ และต้นหอมซอย คนให้เข้ากัน
-
ตั้งกระทะเติมน้ำมันรอให้ร้อน นำส่วนผสมแป้งหอยทอดลงทอดในกระทะแบน ๆ เขี่ยหอยให้กระจายเท่ากัน
-
ทอดให้พอแป้งเริ่มจับตัวก็ตอกไข่ใส่แล้วยีไข่ให้ทั่ว ๆ ทอดไฟกลาง รอจนด้านหนึ่งสุกก็เตรียมกลับด้าน การทอดหอยไม่จำเป็นต้องให้เป็นแผ่น แบ่งเป็นชิ้น ๆ แยกตัวกัน จะทอดได้กรอบมากยิ่งขึ้น คอยพลิกกลับไปกลับมา ทอดให้กรอบตามชอบ เสร็จแล้วเกลี่ยหอยทอดไว้ด้านหนึ่ง ใส่ถั่วงอกลงไปผัด ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวหรือซอสปรุงรสนิดเดียวให้พอมีรสชาติ ตักใส่ภาชนะ
-
ทำน้ำจิ้มหอยทอด โดยเติมน้ำจิ้มไก่สำเร็จรูปผสมกับซอสพริก เสิร์ฟพร้อมหอยทอด
แนะนำอาหารและขนมที่ทำจากแป้งชนิดต่าง ๆ ใครอยากทำเมนูไหนคลิกเลยจ้า
◆ 14 สูตรขนมไทยจากแป้งสาลี เมนูสร้างอาชีพได้ ทำขายกำไรปัง
◆ 16 เมนูขนมไทยจากแป้งมัน อร่อยเหนียวนุ่มแบบไทย ๆ